JJDiary - Blog ส่วนตัวของเจเจที่จะมาเล่าสู่กันฟัง ไดอารี่เรื่องราวในอดีต ทุกสิ่งอย่างที่ประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ต่างก็เป็นประสบการณ์ที่สอนเรา ให้ข้อคิด และมอบความสนุกสนาน ขอให้สนุกกับการอ่านบล๊อกค่ะ
Ads
วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563
世博园 งานโชว์แสดงนิทรรศการต่างๆ ณ คุนหมิง ( นั่งรถเมล์มั่วๆ บังเอิญเจอ )
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2563
[ไดอารี่]เมื่อสมัยเรียนปีสุดท้าย ลากกระเป๋าเล็ก+เป้คนละใบหนีเที่ยวปักกิ่งแบบชะโงกงบคนจนจะเป็นยังไง พาร์ท 3/3 (Beijing 北京)
วันสุดท้ายของการเที่ยวปักกิ่งของพวกเราก็มาถึงแล้วนะคะ
พวกเราเหลือสถานที่ท่องเที่ยวอีก 2 ที่ที่พวกเราต้องมาชะโงก นั่นก็คือ
พระราชวังฤดูร้อน และ หอฟ้า นั่นเองนะคะ ทั้ง 2
สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่พวกเราไมได้เข้าไปในส่วนลึกที่สุดนะคะ
เพราะเนื่องจากว่าค่าผ่านประตูแพงมากๆและต้องจ่ายหลายด่านต่อหลายด่านเอามากๆๆๆและมาก
ฉะนั้นพวกเราก็แค่ชะโงกส่วนหน้าก็พอค่ะ ตังไม่มีแล้ว….
ก่อนอื่นก็เช็คเอ๊าออกจากที่พักก่อนค่ะ
ทริปที่เหลือนี่ เที่ยวไปด้วย แบกกระเป๋าเดินทางไปด้วยทุกที่ บอกเลยว่า
ใครที่อยากลดน้ำหนักกำลังอ้วนๆอยู่เนี่ย ผอมแน่นอนอ้ะ 5555 …..
เริ่มจากนั่งรถไฟใต้ดินไปที่พระราชวังฤดูร้อนค่ะ
The Summer Palace นั่งไปไกลอยู่… พอไปถึงแล้ว พวกเราหลงทางกันอีกแล้วววว..!!!
…
เอ๊ะ แต่เหมือนมันก็ไม่เชิงหลงทางหรอก เค้าเรียกกันว่า มันมีทางเข้าหลายทางมากกว่า
ทางเข้าบางที่เจอสวนหย่อม ทางจุดเจอทะเลสาบ อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ เสียเวลาหาทางเข้านานอีกแล้ว
( ช่วงนั้นพวกรุกคนเริ่มปวดขาปวดเท้าด้วยน่ะค่ะ เพราะเดินเยอะทุกวันเลย ) ซึ่งแต่ละที่ค่าผ่านประตูก็แตกต่างกันไป
บอกตรงๆอ้ะ เห็นค่าผ่านประตูแล้วถึงกับยอมแพ้กันเลยอ้ะคนๆ
จ่ายแค่ค่าผ่านประตูสักที่แค่นั้นพอ เพราะเราก็มีเวลาไม่เยอะอยู่แล้วค่ะ
ได้ชำเลืองแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง รูปนี่บอกเลยว่าไม่ได้ถ่ายอะไรกันเลยค่ะ เพราะพวกเรารีบมาก จากนั้นก็ต้องรีบไปอีกที่นึงแล้ว ( คงคอนเสบทัวร์ชะโงก )
颐和园 The summer palace พระราชวังฤดูร้อน
นั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานี 北宫门 สาย 4 ทางออก D ( สายรถไฟนี้เป็นสายรถไฟใหม่เหมือนเซี่ยงไฮ้
จะบอกป้ายทางละเอียดๆ ) แล้วเดินตามฟุตบาทยาวๆๆๆๆๆๆ จนกระทั่งเจอทางเข้า
สถานที่นี้หมดเวลาไป1วันเต็มๆเลยก็ว่าได้ มันกว้างมาก
แล้วแต่ละจุดภายในนั้นต้องเสียงตังเพิ่มด้วย
ไม่ใช่ว่าซื้อแค่บัตรเข้าแล้วจะเดินได้ทั่วทั้งหมด )
บัตรเข้าพระราชวังฤดูร้อน
อันนี้แค่ค่าเข้ารอบสวนเฉยๆ
แต่ถ้าอยากเข้าไปภายในวังหรือถนนส่วนอื่นในนั้นต้องเสียค่าเข้าเพิ่มเองนะ
ตอนนั้นก็รู้สึกว่าเป็นประมาณบ่ายโมงแล้วน่ะค่ะ
เราก็ต้องรีบไปที่หอฟ้า 天坛 กันแล้วค่ะ
เพราะสถานีรถไฟมันห่างกันมากๆ ( นั่งเป็นชั่วโมงอ้ะ
คือเชื่อแล้วที่คนเค้าบอกกันว่าปักกิ่งมันใหญ่จริงๆ ) แค่เวลาเดินทางก็หมดไปแล้ว …
ตลอดการเดินทางในวันนี้ คนจีนมองพวกเราเป็นตัวประหลาดอ้ะ 555
ลากกระเป๋าเดินทางเดินไปทั่ว
รีบเปิดวาร์ปไปที่หอฟ้าค่ะ เพราะเห็นว่าเค้าบอกว่ามันปิดบ่ายสามครึ่ง
( แต่ตอนนั้นแปลกนะ ยังเข้าได้อยู่ หรือเค้าหมายถึงเข้าได้เฉพาะส่วนหน้า
แต่ที่หอฟ้าอาจปิดไปแล้วก็เป็นได้ )
天坛 Temple of Heaven หอฟ้า
นั่งสาย 5 มาลงที่ 天坛东门 ทางออก A2 แล้วเลี้ยวขวา
ภายในนั้น
จะมีค่าเข้าชมสวน ชมหอฟ้า หออื่นๆด้วย
แต่ละที่เสียค่าเข้าแตกต่าง
ว่าง่ายๆคือ
ถ้าจะเข้าอันไหนต้องเสียค่า
อันนี้สถานที่จริงเป็นแบบนี้ แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปค่ะ
อยู่ที่นั่นด้วยความที่พวกเราชะโงกแค่ส่วนด้านหน้าค่ะ
พวกเราก็เรื่อยเปื่อยค่ะ เห็นแต่คนมาออกกำลังกาย พาหมามาเดดินเล่น
คนแก่จับกลุ่มเล่นไพ่นกกระจอก เป็นต้น
วันนั้นฟ้าเริ่มมืดตะวันเริ่มลับขอบฟ้าช่วงบ่าย 4 โมงกว่าแล้ว
พวกเราเลยคิดว่า ไปสนามบินกันเถอะ จะได้ไม่ต้องรีบ ได้หาของกินแถวนั้นด้วย
เดินตามหลังพี่โตโย่อีกครั้งผู้เชี่ยวชาญด้านการหา airport bus …
เดินเป็นกิโลๆอีกแล้วค่ะ เปิด Baidu แผนที่จีนเดินตามไปเรื่อยๆค่ะ
พอพวกเราได้นั่งในรถแล้ว รู้สึกสบายมาก ได้พักขาสมใจอยาก
จากที่พวกเราไมได้พักขามานานแสนนาน….
นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมงได้มั้ง ช่วงนั้นก็ 5 โมงกว่าๆแล้ว
พวกเราก็มุ่งหน้าไปเช็คอินพลางๆค่ะ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง… นั่นก็คือ
พนักงานบอกว่า กระเป๋าของพี่โตโย่และของชมพู่ไม่อนุญาตให้ carry on เอาขึ้นเครื่อง
บังคับโหลดใต้เครื่องเท่านั้น และเนื่องจากว่าจองมาไม่มีน้ำหนัก จะต้องจ่ายให้เค้า
60 หยวน (
ด้วยความที่พวกเราไม่ได้เก่งภาษาจีนกันมาก
ตอนจองให้แอพมันทรายสเลดแปลภาษาบางทีก็แปลผิดแปลถูก
แล้วมันเป็นโปรโมชั่นอารมซื้อตั๋วพร้อมกันได้ส่วนลดด้วยอะไรทำนองนั้นแหละมั้งนะ )
ทำให้ทั้งคู่ต้องยอมจ่ายค่าโหลดกระเป๋าใต้เครื่องไป…
ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ ถือว่า ขอให้ได้กลับ เพราะคิดถึงหอพักที่มหาลัยเซี่ยงไฮ้กันแล้ว….
อยากอาบน้ำอุ่นๆสุดๆ
ไฟล์ทของพวกเราบินสามทุ่มกว่าๆ ค่ะ
พวกเราก็นั่งเล่นไพ่ฆ่าเวลากันจนกระทั่งพนักงานเรียกให้ขึ้นเครื่องได้ …แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงอีกแล้ว…!!!!
นั่นคือ
ไฟล์ทพวกเรา โดน cancel ณ ตอนนั้นเลย.....!!!!! เพราะว่าหมอกจัดมันเพิ่งลงกะทันหันตอนนั้นจริงๆค่ะ.....!!!!! พวกเรานี่ถึงขั้นที่ต้องไปดูที่หน้าต่างพร้อมๆกันซึ่งหมอกหนาจริงขึ้นมองอะไรไม่เห็นเลย พวกเราก็ได้แต่คิดมาก เครียด เครียดเหลือเกิน
เพราะวันพรุ่งนี้บ่ายพวกเราทุกคนมีเรียนกันด้วยน่ะสิ …!!!!! ตอนนั้นคนจีนแต่ละคนเสียงดังมาก
เหมือนในข่าวประท้วงเลยค่ะ.....!!!!! อารมประมาณว่าสายการบินต้องทำการชดใช้ พวกเราก็เห็นใจพนักงานแอร์นะ แต่พวกเค้าก็เก็บอารมกัน
พวกพนักงานชดใช้ให้พวกเราโดยการซื้อตั๋วให้ใหม่รอบ 8
โมงเช้าวันรุ่งขึ้น พร้อมน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโล เมื่อพวกเราได้ตั๋วใหม่แล้ว ….สิ่งที่พวกเราต้องทำต่อมา
ก็คือ ...การที่ต้องมาหารถแท็กซีไปที่สนามบินอีกแห่งนึง..!!!! (
ที่ปักกิ่งสนามบินมี 2 แห่งค่ะ แห่งที่พวกเราอยู่ตอนนี้มีขนาดที่เล็กมาก
เล็กเหมือนสนามบินภูเก็ตตอนที่ยังไม่ต่อเติม ส่วนสนามบินอีกแห่งนั่นใหญ่มากๆ
อารมสุวรรณภูมิค่ะ )... และแล้ว เมื่อกลุ่มคนจีนหลายๆคนโวยวายออกมาข้างนอกเพื่อนที่จะต้องมาหารถไปสนามบินอีกแห่งเหมือนพวกเรา ทำให้เหล่าคนขับรถแท็กซีเถื่อน ออกมาทำมาหากิน
อีกแล้ว..!!!! มาแย่งเกาะแขกกันเป็นแถบๆเลย คือ ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก
เพราะแถวนั้นรถเมล์ก็ไม่มี แล้วมันก็ดึกเกินไปที่จะมีรถเมล์วิ่งไปมาด้วย....!!!!!
คนขับรถแท็กซีเหล่านั้นรู้ว่าพวกเราไม่ใช่คนพื้นที่
รู้สึกว่าจะมีประมาณ 3 คนค่ะที่มาดักพวกเรา.....!!!! ต่างคนต่างแข่งกันลดราคา
คนนี้พูดราคานี้คนนี้พูดราคานั้น เสนอราคากันไปมา จนพวกเรามีความรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยน่ะค่ะ
( กลัวจะมีการทะเลาะตบตี แต่หากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆเราก็ยังมีบ๊อบ
ที่เป็นผู้ชายอยู่ในกลุ่ม )... จนกระทั่งมีคนนึงยอมลดราคาแบบสุดๆ ขั้นที่ว่าอีก 2
คนนั้นคงไม่ยอมลดราคาอีกแล้ว พวกเราเลยเลือกนั่งในรถของคนที่คิดราคาถูกที่สุดค่ะ ระยะเวลาจากสนามบินแห่งนี้ไปยังสนามบินอีกแห่งนึงนั้น
ใช้เวลาถึง 40นาทีค่ะ ไกลมาก..!!!!! ลุงแกพาขับซิ่ง ทำเอาพวกเรานี่เสียวมาก
ถึงแม้ว่าจะเปิดไฟตัดหมอก วิ่งบนไฮเวย์แล้ว แต่พวกเราก็เสียวว่า
ลุงจะชนคนข้างหน้ามั้ยเนี่ย.....!!!!! ใจหายใจคว่ำค่ะ บรรยากาศรอบข้าง
มีหมอกปนแสงสีส้มๆสลัวๆ เหมือนอยู่ใน Silent Hill เลย
หลังจากที่มาถึงสนามบินนี้แล้ว สิ่งที่พวกเราทำต่อมาคือ
หาของกินตามมินิมาร์ท มาม่าถ้วยนึงก็ยังดี ตอนนั้นคือหิวสุดๆแล้ว กว่าจะได้เช็คอินขึ้นเครื่องก็รอยันตี
5 ไปเลยน่ะสิเนี่ย ประสบการณ์ครั้งแรกเลยที่ถูก cancel ไฟล์ทไปต่อหน้าต่อตากะทันหัน
พวกเราผลัดกันนอนค่ะ ไพ่ไม่เล่นมันละ เฝ้าของ เอาจริงๆนอนไม่หลับค่ะ
ระแวงกันไปเองทั้งนั้น
หลับๆตื่นๆวนไปวนมาจนกระทั่งเค้าเรียกให้พวกเราไปเช็คอินขึ้นเครื่อง
พอขึ้นเครื่องเสร็จก็ขอหลับจริงจังไปเลยอ้ะ ตอนนั้นสภาพไม่ไหวแล้ว….
พวกเราบินกลับมาถึงเซี่ยงไฮ้ประมาณ 11โมงครึ่ง
ตอนนั้นต้องรีบวิ่งไปรถไฟใต้ดินกลับมหาลัยแล้วค่ะ
เพราะระยะทางจากสนามบินกลับไปมหาลัยก็ไกลเอามากๆ …
ถึงมหาลัยประมาณเที่ยงครึ่ง พวกเราก็รีบเดินจ้ำๆกลับห้อง อาบน้ำแต่งตัว
แล้วไปเรียนต่อทันที ( โหดไปไหน 5555 )…. ถามว่า
เพื่อนๆในห้องถามมั้ยว่าพวกเราเพิ่งกลับมาหรือเปล่า คำตอบคือ แน่นอนค่ะ 5555
เหมือนทริปนี้นอกจากจะชะโงกแล้ว ก็ยังเจอแต่อะไรก็ไม่รู้แปลกๆใหม่ๆทั้งนั้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเลย
วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563
[ไดอารี่]เมื่อสมัยเรียนปีสุดท้าย ลากกระเป๋าเล็ก+เป้คนละใบหนีเที่ยวปักกิ่งแบบชะโงกงบคนจนจะเป็นยังไง พาร์ท 2/3 (Beijing 北京)
สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเราคือ … พวกเราทุกคน
หลับ สนิท เป็น ตาย กัน หมด ..!!!!!! จนกระทั่งมีแค่พี่โตโย่แกสะดุ้งตื่นคนเดียว
ตอนนั้น 8โมงครึ่งแล้ว แกตบมือดังลั่นมาก ปลุกพวกเรา
พวกเราสามคนที่เหลือนี่ก็สะดุ้งตื่นสิ ..!!! โอยยย
ตายแล้วๆๆๆ รีบๆๆๆ รีบแต่งตัวน้ำไม่อาบมันแล้ว หนาวก็หนาว
ล้างหน้าแปรงฟันเป็นอันพอ ….แล้วรีบลงไปหาไรกินเพื่อเดินย้อนไปที่ Deshengmen
德胜门 เพื่อรอขึ้นรถเมล์ค่ะ ( ถ้าหากไม่หาอะไรกินก็ไม่มีแรงกันพอดี )….
บอกตรงๆเลยว่า ตอนนั้นต่างคนต่างลนสุดจริง คือเสียเวลามากกกกกก…. รู้สึกผิดที่พวกเราลืมตื่น
คือมันเพลียจากวันแรกจริงๆ - -‘’ แทนที่จะได้ไปเต็มวัน
นี่เหมือนกับเรากำลังจะเสียเวลาครึ่งวันเช้าไปเลย….
ป้อมปราสาทจีน
จุดที่มีรถเมล์พาไปส่งถึงกำแ
เราจะต้องนั่งรถสาย 919 ไปลงสถานีที่ชื่อว่า 八达岭
ตอนนั้นระหว่างที่พวกเรากำลังขึ้นรถเมล์ไปกำแพงเมืองจีน
ก็มีเหล่าแท็กซีมาดักพวกเราเป็นแถบๆ คงรู้ว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยว
ราคานี่ฟันอย่างโหดมาก นั่งรถเมล์นี่ถูกกว่าเย้อะ บอกเลย….
นั่งจนแทบจะหลับในรถได้แล้วมั้ง
ตั้งชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมงแน่ะ นานมาก….
จากนั้นพวกเราก็ได้มาถึงกำแพงเมืองจีนของจริงค่ะ
ตรงจุดขายบัตรผ่านประตูก็จะมีให้เลือกว่า จะซื้อแค่ค่าเข้าปกติ
หรือนั่งกระเช้าขึ้นไปข้างบนแล้วเดินลงมาเอง อ้อ…มีให้ซื้อไอสไลเดอร์ที่เอาไว้ลื่นลงมาด้วยโดยไม่ต้องเดิน
ทีแรกจะซื้อนะ.. แต่ตอนนั้นพวกเรา 4
คนคิดว่า ค่อยไปซื้อข้างบนก็ได้มั้ง…
จากนั้นก็ถึงเวลาฟิตกำลังขาของพวกเราปีนกำแพงเมืองจีนค่ะ
เอาจริงๆ ทีแรกไม่เข้าใจนะคะว่าทำไมต้องใช้คำว่า ‘‘ปีน’’ ….. พอได้ไปเท่านั้นแหละ…เข้าใจแล้ว ..!!! มองหาขั้นบันได…!!! ไหนล่ะ…!!! ไม่มี…!!!! มีแค่ราวจับด้านข้าง…!!!!
นี่ขนาดเดินป้อมแรกๆ มันชันม้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก …..
( ป้อมแรกทำเอาชมพู่หน้ามืดไปแล้วอ้ะ เหอะๆๆ ) ตอนนั้นแอบมีความรู้สึกในใจว่า
ลงไปซื้อบัตรนั่งกระเช้าลอยฟ้าดีมั้ยเนี่ย แต่ก็ เออว่ะ…
ลืมไป ทริปประหยัดนี่หว่า .. เดินก็เดิน เอ๊า…..ตอนเดินทีถึงกับต้องขอพักเบรกก่อน หายใจกันก่อน หอบกันเลยแต่ละคน
เจอตาลุงทำป้ายสลักกำแพงเมืองจีนขายของ
ไปถ่ายรูปกะลุงแกหน่อยละกัน 555
(ไปรบกวนลุงแกตอนแกทำงานอยู่อี๊กกก )
ระหว่างทาง
เจอคนจีนที่ชวนพวกเราโม้ ก็ดันไปขอถ่ายรูปกับเค้าอี๊กกกก 5555
จากนั้นก็เดินต่อ
ถ่ายรูปบ้าบอกันบ้าง อยากจะบอกว่าฝรั่งที่ไปเที่ยวที่นั่นงานดีม้ากกกก คนๆ (
ไม่ใช่แระ 5555 ^^ )
ตกเย็นตอนนั้นเริ่มเป็นเวลาประมาณ
5โมงเย็นกว่าๆได้แล้วแหละ
ทีแรกว่าจะลื่นไอสไลเดอร์ที่เป็นขบวนรถไฟลงมา แต่ว่า…
ฤดูหนาว ช่วงนี้ เค้าปิดให้บริการ ตั้งแต่ บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว ..!!!! โอ้แม่ จ้าววววววว…!!!! ปิดไวอะไรเยี่ยงนี้คะคุณพี่….!!!!!
ทำอะไรไมได้แล้วววว ต้องรีบเดินลงมาแล้ว
ไม่งั้นฟ้ามืดไม่มีรถกลับแน่ๆ !!!!
…. เรื่องเล่นๆ เริ่มจะไม่เป็นเรื่องเล่นๆแล้วค่ะ ณ จุดๆนี้ … ณ ตอนนั้นเหลือแค่พวกเรากับคนจีนไม่กี่หน่อ พวกเราทำได้แค่ไปที่ป้ายรถเมล์
ลุ้นหวังว่ารถคันถัดไปจะมา แล้วเริ่มมีแท็กซีเถื่อนตามมาตื๊อพวกเรา อีกแล้ว
แล้วมีการมาขู่ด้วยว่า ‘‘เธอรอให้ตายยังไงเดี๋ยวก็ไม่ได้กลับหรอกนะ
ฟ้าก็จะมืดแล้ว รถมันไม่มีแล้ว เชื่อฉันสิ ฉันคนพื้นที่ที่นี่รู้ดีกว่าใครๆ’’
… เอาจริงๆตอนนั้นพวกเรากลัวมากค่ะ กลัวว่าไม่มีรถกลับด้วย
ตอนนั้นรู้สึกว่ารอประมาณ 20นาทีหรือมากกว่านั้นนี่แหละ
คือรอนานมากจริงๆ ตอนนั้นรถเมล์แม้แต่คันเดียวก็ไม่มารับ !!! ( คิดในใจอ้ะว่าสงสัยคนพวกนั้นพูดคงเป็นความจริง ) จนกระทั่งตอนนั้นพวกเราเห็นคนจีน
คนที่ตกรถเหมือนพวกเรา เดินกลับไปทางเก่า ทางที่รถเมล์สาย 000 พาพวกเรามาส่งที่นี่น่ะค่ะ พูดง่ายๆก็คือ…ต้องเดดินย้อนไปนี่เอง
เอาล่ะว้า …. เป็นไงเป็นกันอ้ะ เดินก็เดินอ้ะ
ไม่มีทางเลือกแล้ว ฟ้ากำลังมืดลงเรื่อยๆด้วย… ระหว่างเดินก็โดนเหล่าคนขับแท็กซีเดินจี้หลังตามมา
พวกเราพยายามเดินหนีค่ะ แล้วพวกเค้าก็เดินตามมาไม่หยุด…. ยิ่งเดินก็แอบกลัวว่าจะหลงทางรึเปล่า
ข้างทางบ้านคนไม่มีสักหลัง ไฟฟ้าก็ไม่มี มีแต่ต้นไม้ ทุ่งนา ทุ่งหญ้า แค่นั้นเลย
เดินขึ้นลงเนินตามทางเดินไปเรื่อยๆ บางจังหวะก็วิ่งเอาค่ะ เหมือนอารมว่าพวกเราทั้ง
4 ต้องแข่กับเวลาจริงๆ เพื่อที่จะไปลุ้นว่า
ตรงจุดเปลี่ยนรถนั้นจะยังมีรถเมล์อีกรึเปล่า…….
เดินหลายสิบนาทีเลยค่ะ นานอยู่ จนกระทั่งพวกเราลงมาถึงจุดเปลี่ยนรถ..!!!! โอ๊ยย …ตอนนั้นน้ำตาแทบจะไหลค่ะ TT^TT ….นึกว่าจะมีแค่พวกเราที่ถูกทิ้ง ….โชคดีที่ไม่เปลี่ยวค่ะ เพราะที่นั่นก็ยังมีคนจีนกำลังรอรถเมล์คันถัดไปมารับเหมือนพวกเราเลยค่ะ
แต่เพียงแค่พวกเค้ามาถึงที่นี่ก่อนพวกเราแค่นั้นเอง รถมาประมาณ6โมงครึ่งได้ค่ะ ตอนนั้นฟ้ามืดสนิทแล้ว พอพวกเราได้นั่งในรถ ก็หลับไปเลยค่ะ….
หลังจากที่พวกเราลงจากรถเมล์ที่ป้อมปราสาทจีน
จุดแรกที่พวกเราขึ้นรถเมล์วันนี้ พวกเราก็เริ่มรู้สึกหิวแล้ว ต้องหาของกินด้วย
ตอนนั้นเป็นเวลาทุ่มกว่าเกือบสองทุ่ม ( รถไม่ติดเท่าตอนกลางวันค่ะ )
พวกเราเลยตัดสินใจจะไปที่ Qianmen
前门 เพราะเท่าที่หาข้อมูลว่ามันเป็นถนนคนเดิน
เลยคิดว่ามีของกินค่ะ
前门 Qianmen เฉียนเหมิน
นั่งสาย 2 ชื่อสถานี Qianmen ทางออก
C เลี้ยวซ้าย
(ทางมันจะโค้ง) จนกระทั่งเจอทางม้าลายให้ข้
เป็นถนนคนเดิน
คนส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ
มีร้านขายของฝาก (ตอนกลางวันเป็นแบบนี้
ตอนนั้นที่พวกเราไปมันตอนกลางคืนน่อ)
แต่แล้วก็ไม่มีดวงช่วยพวกเราอีกแล้ว
เนื่องจากว่าตอนนั้นที่พวกเราได้ถามทางเพื่อนๆที่มาเที่ยวก่อนที่พวกเราก่อนจะบินมาที่นี่ในรอบนี้
เพื่อนๆบอกทางไม่ละเอียดค่ะ พวกเราเดินหลงแล้วหลงแล้ว
เที่ยวมองซ้ายมองขวาหาทางเข้าว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่ … ตอนนั้น
เจได้นัดอาจารย์ของเจที่อยู่เมืองปักกิ่งให้มาพบกันที่ Qianmen ด้วยค่ะ ตอนนั้นเสียเวลาไปประมาณ 15-20นาทีได้อยู่ที่กว่าจะเจอทางเข้าค่ะ
พอเข้าไปที่ Qianmen เริ่มเห็นร้านอาหารที่กำลังทยอยปิด และบางร้านก็ปิดไปแล้ว…!!!!
TT^TT แงงงง … จริงป่ะเนี่ยยยยย…!!!! จะได้หาของกินกันมั้ยเนี่ยยยยย…!!! เดินไปสักพัก
เจออาจารย์ในนั้นพอดี รู้สึกดีใจมากกกก ^^ เพราะเจก็ไมได้เจอจารย์แกมานานแล้วค่ะ
แกเอาของฝากมาให้พวกเราด้วยค่ะ…. อาจารย์เลยถามว่า
ทำไมนัดให้แกมาเจอที่นี่เวลานี้ ไปที่อื่นไม่ดีกว่าหรอ เพราะที่นี่มันจะปิดแล้วนะ….. ตอนนั้นพวกเราทั้ง 4 ถึงขั้นสตั๊นอ้ะ
ยืนค้างไปประมาณ 10 วิ (
ตอนนั้นยังสามทุ่มครึ่งอยู่เลย )… พวกเราเลยงง
สงสัยว่า อ้าว ทำไมหรอ ก็ย่านถนนคนเดินต้องเปิดตอนกลางคืนน่ะสิ…. อาจารย์เลยบอกว่า ที่นี่น่ะ หน้าหนาวอะไรๆก็ปิดไวนะ ปกติอ้ะ
เค้าปิดตั้งแต่สองทุ่มครึ่งสามทุ่มกันแล้ว ร้านอาหารกำลังทยอยเก็บครัวนะ จะทันหรอ
จะกินอะไรล่ะ ….. ถามเรื่องของกินมาเท่านั้นแหละ พวกเราทั้ง 4 คนตอบกันพร้อมเพรียงแบบประสานเสียงเลยว่า ‘‘เป็ด
ปัก กิ่ง!!!’’ ( มาปักกิ่งทั้ทีก็ต้องกินเป็ดปักกิ่งซี่ )…!!!!!
อาจารย์เลย ขำๆ นิดๆ แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะลองไปต่อรองร้านให้ … ตอนนั้นพวกเรานี่ดีใจละ จะได้กินแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆ ^^….
ตอนนั้น 21.45น. มีร้านนึงกำลังเก็บของ
แต่ไฟยังเปิดอยู่ ครูแกเลยเข้าไปขอร้องให้พร้อมอธิบายว่าพวกเราไม่เคยมาที่นี่
มาที่นี่ครั้งแรก อยากทานเป็ดปักกิ่ง จะยังขายให้อยู่มั้ย??
พ่อครัวแม่ครัวที่นั่นก็มองหน้ากันสักนิดแล้วพยักหน้าบอกจะทำให้พวกเรา
ตอนนั้นพวกเรานี่แทบกรี๊ดดดดดด !!!!! …. กราบงามๆสามที…. ในที่สุด อาหารค่ำอันโอชะมื้อนี้ก็ ได้กินแล้วววววว…!!!!!
北京烤鸭 มื้อนี้อร่อยฝุดๆ
^^
เป็ดร้อนๆหนังกรอบๆโอชารส
เหยาะน้ำจิ้ม ปรุงด้วยผักเพิ่มเติม ห่อตบท้ายด้วยแผ่นแป้ง อร้อยยยย อร่อย~~
เป็ดปักกิ่งเซ้ตนึงราคา 199หยวน อ้ะ.. ปัดเลขตีกลมๆไปเลยว่า 1,000บาทไทย
ขอบอกเลยว่า
เป็ดมันไม่ได้ใหญ่อย่างที่ค
ข้อดีของการกินเป็นเซ็ตคือ
ให้องค์ประกอบทุกอย่างครบคร
แต่ไหนๆก็มาเมืองต้นกำเนิดเป็ดปักกิ่งแล้ว ยอมกันสักหน่อยจะเป็นไรไป...
ได้เข้าถึงเมืองปักกิ่งเต็มตัวกันไปเลย ^^
ใส่ๆๆๆๆทุกอย่างลงในแป้ง
แล้วม้วนๆๆๆห่อๆๆๆ เอาเข้าปากได้เล้ยยย
ระหว่างกินก็โม้กันนิดๆหน่อยๆค่ะ
เพราะต้องรีบยัดรีบทำเวลา ระหว่างที่พวกเรากินอยู่อาจารย์แกก็แซวว่าพวกเรานี่
ซนนัก โดดหอ หนีเที่ยวระหว่างเรียน
ลงทุนบินมาถึงปักกิ่งเพื่อมากินเป็ดปักกิ่งโดยเฉพาะอีกนะ 5555
พอกินเสร็จ ก็ต้องรีบออกจากที่นี่แล้ว
ขั้นที่ยามเริ่มจะมาไล่พวกเราออกไป 555 สี่ทุ่มครึ่งได้แล้วมั้งตอนนั้น มืดสนิทแล้ว ฝนเริ่มตกปรอยๆนิดๆด้วย
พวกเราก็รีบอำลาอาจารย์แล้วส่วนพวกเราก็ต้องรีบกลับที่พักของพวกเรา … ตอนนั้นคิดว่า คงได้นั่งรถเที่ยวสุดท้ายแล้วมั้งคงทันแหละ … ก็เดินลงไปสถานีรถไฟใต้ดิน แล้วนั่งรถไฟใต้ดินตามปกติค่ะ….
นั่งรถไฟไปประมาณ 4-5 ป้ายได้ค่ะ
พวกเราก็ได้ยินประกาศในรถว่า
นี่จะเป็นสถานีสุดท้ายที่เค้าจะจอดที่นี่เพราะสถานีรถไฟมันกำลังจะปิดแล้ว …!!!!
ตอนนั้นพวกเรานี่สะดุ้งตาตื่นเลย ห๊ะ..??!!! อะไรนะ???!!!!
พวกเราจะถูกทิ้งไว้ที่นี่หรอเนี่ยยยย??!!! นี่พวกเราได้ยินเหมือนกันหมดใช่มั้ย??!!!
( ถามเพื่อความมั่นใจหวังว่าพวกเรายังคงไม่โง่ภาษาจีน )…. และแล้ว เมื่อพวกเราถึงสถานีสุดท้ายที่เค้าประกาศ
เจ้าหน้าที่ก็ไล่พวกเราทุกคนลงออกจากรถค่ะ พวกเราเห็นคนจีนแต่ละคนรีบเดินไปทางออกจากสถานีรถไฟ
พวกเราก็สงสัยว่าจะรีบเดินไปทำไม จากนั้นไม่นานค่ะ
พวกเราโดนยามตะโกนไล่มากเสียงดังมาก ทำเอาพวกเราตกใจหมดเลย ประมาณว่า … ‘‘นี่ พวกเธอ ..!!!! เป็นเด็กมาทำอะไรเอาเวลาป่านนี้ ...!!!!
กลับบ้านกลับช่องไปได้แล้ว ที่นี่จะปิดจริงๆแล้ว ...!!!!’’….
ความรู้สึกในตอนนั้นเลยคือ…เหมือนอยู่ในหนังแอคชั่นเลยค่ะทุกคน…!!!
นึกถึงฉากที่ตัวละครรีบวิ่งๆๆๆแล้วไฟโดนปิดตามหลังตามทาง พรึ่บ
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ .....!!!!. อะไรทำนองนั้นเลยค่ะ ...!!!!.พวกเราก็วิ่งสิ เอ๋ ว่งสิเอ๋วิ่งงงงงงง...!!!!.วิ่งไปวิ่งมาจนกระทั่งพวกเราทุกคนออกมานอกสถานีรถไฟแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็ทำการปิดประตูใหญ่ลงมาดัง พรึ่บ...!!! ในตอนนั้น
..พวกเราคิดว่า สิ่งที่พวกเราทำได้ตอนนั้น คงทำได้แค่เดินแล้วล่ะค่ะ
เดินไกลด้วย อีกแค่ป้ายเดียวแท้ๆ
ก็จะถึงป้ายที่พวกเราต้องลงแล้ว ฮือออออ... เดินแบบคลำๆมั่วๆ
ไม่รู้เส้นทาง รถข้างทางก็ไม่มี เวลา ณ ตอนนั้นแม้แต่แท็กซีเถื่อนสักคันก็ไม่มี
พวกเราก็ทำได้แค่เดินท่ามกลางอากาศหนาวๆฝ่าฝนตกปรอยๆค่ะ... จนกระทั่งเจอคู่พ่อลูกคู่นึง
เค้ามาถามพวกเราว่า พวกเราจะไปไหน มาทำอะไรที่นี่ ..... ตอนนั้นพวกเราก็ถือโอกาสถามทาง
ขอให้ช่วยบอกทางพวกเราหน่อย ..
โชคดีที่พวกเค้าไม่ใช่คนร้ายอะไร พวกเค้าก็ทำการบอกทางให้ ….. แต่ พอโม้ไปโม้มา พ่อแกแอบจีบพี่โตโย่สะนี่ 555555 (
ขั้นที่ต้องช่วยพี่แกปลีกออกมาเลยเนี่ยยย 55555 )….. จากนั้นก็ขอบคุณลุงแกที่ช่วยบอกทางพวกเรา
และแล้วพวกเราก็ต้องเดินจ้ำๆต่อไป …..กว่าจะถึงที่พักนี่
บอกเลยค่ะว่าเดินเป็นชั่วโมงแบบไม่ได้หยุดพักจริงๆ เดินต่อไปแบบไม่หยุด
กว่าจะถึงที่พักตอนนั้นล่อไปห้ามทุ่มกว่าๆเลยค่ะ พอถึงที่พักแล้วบอกเลยค่ะว่า… สลบทุกคน..!!! ..zzzZzZ…
เดี๋ยวจะมาต่อในพาร์ทถัดไปนะคะ สำหรับพาร์ทนี้ขอนอนก่อน สวัสดีค่ะ ..zzzZzZ…