Ads

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Floating ลอยน้ำที่เต็มไปด้วยขนมหวาน ที่ปลื้มสุดๆ ณ Isara Boutique Hotel and Café Phuket ภูเก็ต

                    สวัสดีค่ะ บล็อกนี้จะมารีวิว Floating ลอยน้ำที่เต็มไปด้วยขนมหวาน ที่ Isara Boutique Hotel and Café Phuket ค่ะ ข้างหน้าจะเป็นร้านกาแฟ คาเฟ่ ขนมหวานเต็มไปด้วยสีชมพูฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วมากๆแบบสุดๆไปเลย ส่วนด้านหลังร้านจะเป็นเกสเฮ้าเล็กๆนะคะ ในนั้นก็จะมีห้อง Pool Villa 1 ห้องด้วย ซึ่งมีสระน้ำส่วนตัวและนั่งชิวๆถ่ายรูปกับถาด Floating ได้ด้วยค่ะ ตอนที่เจไปพักตอนนั้นทางเกสเฮ้าเค้ามีราคาโปรโมชั่นอยู่พอดี ก็น่าสนใจค่ะ ก็เลยแวะพัก 1 คืนค่ะ


                Hello everyone, I would like to review a floating dessert which contains every pieces of dessert inside the basket. In order to get this, you could pay your visit at Isara Boutique Hotel and Café Phuket ( in Phuket Town, Krabi Road ) in a pool villa. In front of the hotel, there is a coffee shop in pink colour, the hostel is at the back of it. At that time, there was a promotion of special price pool villa and floating dessert, so I decided to stay there one night for this.




นี่คือหน้าตาของถาดค่ะ บอกเลยว่าน่ารักมาก น่ารักจนไม่กล้าแม้แต่จะเอามือไปแตะมันเลย

Here is how it looks like.








                    ด้านในถาดขนมหวาน Floating ลอยน้ำนะคะ ก็จะมีผลไม้เป็นส้ม แอปเปิ้ล แก้วมังกร และบลูเบอร์รี่ค่ะ มีช็อกโกแลต เครื่องดื่มม๊อคเทลหวานๆฉ่ำๆ ขนมสโคนที่สามารถเลือกแยมได้ว่าจะใช้แยมรสไหน เจเลือกเป็นแยมบลูเบอร์รี่ค่ะ  ชีสเค้กแยมบลูเบอร์รี่ ( เจเลือกแยมเอง ) น้ำชา และมาการองค่ะ น้ำชากับมาการองเราสามารถเลือกได้จากหน้าร้านค่ะว่าเราอยากจะได้รสชาติแบบไหน มีตัวเลือกให้เยอะมากมายเลยค่ะ เอาจริงๆตอนนั้นตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะเลือกรสชาติไหนดี


                What is inside the basket ? Now you can see, there are some fruits such as slices of orange, apple and dragon fruit, also some blueberries nearby, mocktail drinks, Scone and Cheesecake with blueberry jam ( you can choose whether you want strawberry jam or blueberry jam ), tea and macarons. There are many flavours of tea and macarons which you can choose at the coffee shop, for me I spent a couple of minutes to make a choice. Honestly, I could not make up my mind. ^^








                พนักงานจะนำเจ้าตะกร้านี้มาให้เราเวลา 10 โมงเช้าโดยประมาณนะคะ ซึ่งพอได้แล้วเราก็สามารถนำมาลอยน้ำ ถ่ายภาพสวยๆลงโซเชียลได้เลย

               The staff will hand the basket to you around 10 o’clock, after that, it is time to enjoy !!!






















        จบการรีวิวค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณเพื่อนสนิทที่ช่วยมาถ่ายรูปให้ในครั้งนี้ หวังว่าจะชอบกันนะคะ Hope you enjoy my blog

        ปล. บล็อกนี้เป็นบล็อกรีวิวสั้นๆส่วนตัวของเจเจเองค่ะที่อยากจะมาแชร์มาบอกต่อสิ่งที่เจชอบ เป็นเพียงความชอบส่วนตัวค่ะ ไม่มีการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ใดๆแม้แต่น้อยค่ะ 

This blog is written by me, without any sponsers.


วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นเด็กมหาลัยเรียนที่จีนปี 2 โดดหอ เที่ยวแบ๊คแพคเป้คนละใบดีใจไปเที่ยวฟรี ตอนที่ 4 หนานจิงทริป (Nanjing 南京)

                สวัสดีอีกครั้งค่ะ  บล็อกนี้จะมาเล่าเรื่องทริปสุดท้ายที่เจเจและเพื่อนๆโดดหอเที่ยวที่เมืองหนานจิงค่ะ คนไทยบางคนอาจเรียกชื่อว่า นานกิง นี่เอง บล็อกนี้จะเป็นบล็อกสั้นๆค่ะ เนื่องจากไปเที่ยวแบบวันเดียวกลับ ไม่ได้ไปนอนพักค่ะ  และที่สำคัญ คือ  ‘‘ค่าเข้าฟรีทุกที่ที่ไป’’ คือ มัน ดีย์ ตรง นี้ นี่ เองงงงงง ><  เสียแค่ค่ากินกับค่าเดินทาง แค่นั้นเลยจ้า

                ปล.ทริปนี้แทบไม่มีรูปเลยนะคะ และตามเดิมค่ะ ความงดงามของรูปไม่มี บางสถานที่เค้าไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ บวกกับพวกเราไปวันเดียวกลับ เลยรีบทำเวลาด้วยค่ะ ทริปนี้จะเน้นอ่านเอานะคะ





                มาเริ่มกันเลยนะคะ

                ทริปสุดท้ายนี้พวกเราก็จะเที่ยวแบบชิวๆค่ะ หาข้อมูลมาล่วงหน้าแล้ว คิดว่ายังไงก็เป็นไปตามแผน ไม่ต้องกังวลเรื่องหาที่พักแล้ว 5555  แต่สิ่งที่ทำใจล่วงหน้ามาแล้วแน่นอนคือ  … ‘‘ไม่พ้นการเดินขาลากแบบทริปที่ผ่านมาแน่นอน’’

                นั่งรถไฟจากฉางโจวไปหนานจิงประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ ไม่ได้ไกลอะไรเลย นั่งถึงที่นั่นก็ทำการเดินไปต่อรถที่รถไฟใต้ดินต่อ ไม่ง้อเหล่าอาจุมม่าที่ดักขายทัวร์


                ที่แรกที่ไปนะคะจะเป็นสุสานซุนยัดเซ็น ( 中山纪念堂 Sun Yatsen Mausoleum ) นั่งรถไฟใต้ดินต่อเดียวไปถึงค่ะ แต่ความสะดวกสบายไม่ใช่ว่าจะถึงทันทีนะคะ พอลงจากรถแล้วคือ เดินๆๆ แล้วก็เดินค่ะ !!! แค่เห็นเส้นทาง เนินแล้วก็แดดตอนแรก ก็จะเป็นลมแล้ว ฮือออออ T^T … ก็แหม เที่ยวฟรีนี่นา ที่นี่มันไม่มีค่าเข้าซะหน่อย  งั้นเราก็เดินๆๆๆ แล้วก็เดิน  เดินไปสักพัก เจอจุดขึ้นลงรถเมล์ มันไม่ใช่รถเมล์แบบตามท้องถนนใหญ่นะ เหมือนมันคงเป็นรถเวียนในที่นั้นแหละ รับส่งคนตามจุด โชคดีที่เจอ ก็เลยขอขึ้นรถ และหลังจากที่ขึ้นรถได้ไม่นาน ออมกับซอลก็หลับไปซะแล้ว ^^ ….




แอบถ่ายตอนเพื่อนหลับ จะโดนว่ามั้ยเนี่ยะ 5555…

                นั่งรถนี่เป็นอะไรที่แปปเดียวมาก ถือว่าได้พักขาภายในตัวไปเลย คนขับรถพาเราไปส่งที่จุดรวมพลค่ะ ตรงนั้นจะมีพวกร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ห้องน้ำ แมคโดนัล และร้านค้าเล็กๆค่ะ  พวกเราก็ขอนั่งพักเก็บแรงก่อน กินขนม กินน้ำ เตรียมตัวให้เรียบร้อย แล้วค่อยลุกเดินต่อไปอีก เดินไปเรื่อยๆ เห็นขั้นบันไดเยอะๆ ก็เริ่มท้อใจกันไปเสียแล้ว….




                นี่ขนาดเพิ่งเริ่มเองนะ แดดก็ขนาดนี้ซะด้วย ดีนะที่เอาร่มกันแดดมา ซื้อมา 20หยวน แต่กันแดดได้ คือได้ใช้งานทันทีเลย 5555 จัดว่าคุ้มค่ากันเลยทีเดียว  ในรูปอาจดูเหมือนว่าแดดไม่แรงนะ แต่สถานที่นี่อยู่บนเนินที่สูงมากๆ แดดนี่ ขืนมองไปข้างบน ได้แสบตาแน่..







เดินต่อๆๆ และก็เดินต่อ ได้แต่บ่นว่า เมื่อไหร่จะถึงซะที ….




เห็นอย่างนี้ก็ทำเอาท้อเลยอ้ะทุกคน !!!! ….




ก่อนจะขึ้นไปยังจะแวะถ่ายรูปอีก - -








                พอขึ้นมาถึงข้างบนสุด ด้านในเค้าจะไม่ให้ถ่ายรูปแล้วนะคะ ก็เลยถ่ายด้านนอกแทน แต่ด้านในไม่มีอะไรค่ะ เป็นแค่รูปปั้นกับโลงของซุนยัดเซ็น












                เหนื่อยแล้ว ขอพักหน่อยเถอะก่อนเดินลงไป คือมันไม่ไหวจริงๆแล้ว แค่มองลงไปข้างล่างก็จะอ้วกแล้วอ้ะ เห็นแต่ขั้นบันไดๆๆๆ มึนขั้นบันไดเหมือนกันนะ อารมว่ายิ่งเดินยิ่งถอยหลัง หากสะดุดคว่ำไปข้างหลังล่ะก็ ลาก่อนเลยนะ ( แต่จำได้เลย สิ่งที่ตอกย้ำไปมากกว่านั้นคือ เจอมินิมาร์ทที่ขายน้ำเปล่าเย็นๆขวดขนาดปกติ แต่ราคาถึง 30 หยวน !!!! แม่จ้าวววว ... !!!!!! )

                จากนั้นก็เดินลงมา มาแวะหาไรกินก่อนค่อยไปเที่ยวกันต่อหมี่คนละชามรองท้องก็ยังดี 




                จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินไปที่พิพิทธภัณฑ์สงครามจีนญี่ปุ่น ( The Memorial of the Nanjing Massacre )ไม่มีค่าเข้าค่ะ เข้าฟรี  สถานที่นี้พวกเราไมได้ถ่ายรูปอะไรข้างในเลยนะคะ เข้าไปแล้วแอบรู้สึกหดหู่ในใจนิดนึง ปกติเจเป็นคนไม่อินกับประวัติศาสตร์เลยค่ะ แต่ว่าเมื่อได้เห็นภาพ วีดีโอบันทึกเหตุการณ์เก่าๆ และพวกโครงกระดูกอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ เลยทำให้รู้สึกหดหู่ลง คนจีนที่ไปที่นั่นส่วนมากก็จะสงบนิ่งค่ะ บรรยากาศไปที่นั่นนี่ยังกะว่าไปวัดมากๆ คือทุกคนเงียบสงบ ไม่มีเสียงโหวกเหวกเสียงดังเหมือนที่เราเห็นทัวร์จีนตามนอกสถานที่เลย บางคนขั้นที่ว่ามีความเสียใจเมื่อพวกเค้าเห็นรูปภาพเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงกับบรรพบุรุษของพวกเค้าที่ถูกบันทึกไว้ที่นั่น ซึ่งเจขอไม่อภัยต่อนะคะ พูดง่ายๆคือสถานที่นี้ คนจีนค่อนข้าง จริงจัง มากๆค่ะ

                ใครที่เป็นสายเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แนะนำให้มาที่นี่นะคะ คุ้มค่ะ






                หลังจากที่ไปสิงอยู่กันเป็นชั่วโมงๆ ก็เหลือที่เที่ยวที่สุดท้ายแล้วค่ะคือ ตลาดถนนคนเดินฟู่จือเมี่ยว ( Fuzimiao 夫子庙 ) สามารถเดินทางไปได้ 2 ทาง คือทางรถเมล์หน้าพิพิทธภัณฑ์หรือจะลงรถไฟใต้ดินก็สะดวกเหมือนกันค่ะ และที่สำคัญ ที่นั่นก็ เข้าฟรี อีกแล้ว ^^




                บรรยากาศจะเหมือนๆกับตลาดที่ผ่านมาที่พวกเราเคยไปเมืองอื่นมาก่อนน่ะค่ะ ทรงตึกเหมือนทรงวัดแล้วก็มีแม่น้ำขั้นกลาง














                แค่เดินเล่นกันเฉยๆ เพื่อให้ได้รู้ว่ามาแล้ว คนเยอะเช่นเคย พี่จีนนี่ ไม่มีเลยว่าไปที่ไหนคนไม่เยอะ 5555

            ก่อนกลับก็แวะสั่งพวกนี้มากินกัน ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เลยเห็นเค้าทำขายหน้าร้านดูแปลกดี




                จากนั้นพวกเราก็กลับไปยังสถานีรถไฟช่วงก่อนค่ำค่ะ กลับฉางโจวไปเรียนต่ออีกแล้ว หมดเวลาสนุกแล้วสิ

                ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆค่ะ ไม่ค่อยมีอะไรมาก เรื่องอุปสรรคก็ไม่เกิดขึ้นเนื่องจากว่าเป็นทริปที่เราไมได้ค้างคืน ไปวันเดียวกลับ ข้อมูลใน tripadvisor ค่อนข้างละเอียด หาง่าย เดินทางสะดวก สถานที่ท่องเที่ยวไม่ไกลค่ะ

 

                ขอบคุณทุกคนที่อ่านตั้งแต่ต้นจนจบเลยนะคะ เรื่องราวทริปเหล่านี้เจได้พยายามรวบรวมเท่าที่จำได้มากที่สุดค่ะ ถึงแม้จะไม่ได้ถ่ายรูปไว้เยอะ เที่ยวแบบทำเวลา แต่ช่วงเวลานั้นพวกเราสนุกมากค่ะ ได้ออกมาเจออะไรใหม่ๆ อุปสรรคในทริปก่อนๆจากทีแรกก็ซีเรียสมาก แต่พอเอามาเล่าปากต่อปากแบบนี้ก็รู้สึกเฉยๆกันไปแล้ว ^^  ถือว่าเป็นความทรงจำช่วงวัยเรียนใช้ชีวิตที่เมืองนอกระยะสั้นที่ดีค่ะ





JJDiary

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นเด็กมหาลัยเรียนที่จีนปี 2 โดดหอ เที่ยวแบ๊คแพคเป้คนละใบเซ็งไก่ทริปผิดหวัง ตอนที่ 3 พาร์ท 2/2 หางโจวทริป (Hangzhou 杭州)

มาต่อเรื่องราวจากบล๊อกที่แล้วนะคะ….

                วันรุ่งขึ้น ก่อนที่จะออกไปเที่ยว พวกเราก็ถามอาอี๋ที่เคาน์เตอร์รีเซฟชั่นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว ทำให้กระจ่างเลยว่า นอกจากพวกเราจะทำการบ้านมาน้อยนิดแล้วนั้น บางอย่างพวกเราเข้าใจผิดเสียด้วย !!! ด้วยความที่เปิดอินเตอร์เน็ตข้อมูลไม่ตรงบ้าง บอกไม่เหมือนกันบ้าง พอมาเจอคนพื้นที่บอกมาจริงๆคือยังกะว่าหนังคนละม้วนเลย  ฮืออออ T^T….. ความตั้งใจในตอนนั้นคือ เจอยากพาออมกับซอลไป ‘‘หมู่บ้านราชวงศ์ซ่ง’’  宋城 เพราะเนื่องจากออมกับซอลเค้าเรียนสายประวัติศาสตร์จีนค่ะ  ก็เลยอยากพาเพื่อนๆไปเที่ยวสายวัฒนธรรมนิดนึง  แต่อาอี๋แกบอกว่า  สถานที่นั้นอ้ะ ไม่มีรถเมล์ไหนผ่านไปเลยนะ ต้องนั่งแต่ taxi เท่านั้น  เดินทางกว่าจะถึงตั้ง 2-3 ชั่วโมงอีกต่างหาก ค่าเข้าแพงหูฉี่ด้วย หลายร้อยหยวนเลย !!!! เพราะว่าด้วยตัวโลเคชั่นมันอยู่นอกเมือง  คือแบบ…. โอ้ หม่าย ก็อดดดดดด ไม่ได้ไปแล้วจา….. ก็เลยแบบ เออช่างมัน ตัดออกๆๆ  และจากนั้นก็ถามทางไป ‘‘วัดหลิงอิน’’ 灵隐庙  ( หาข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้วก็เลยมาถามเพื่อความแน่ใจ ) โชคดีที่มีรถเมล์นั่งต่อเดียวไปถึง ก็เลยเออ ไปที่นั่นละกัน

อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นค่ะ มาเที่ยวช่วงเทศกาลคนเยอะถูกมั้ยคะ?!! … นั่นแหละค่ะ รถแน่นรถเมล์ยังกะปลากระป๋อง แน่นแบบหายใจไม่ออก จะอัดคนอะไรกันนักหนาเนี่ย!! กว่าจะถึงวัดนี่แบบ…. โอยยยย จะเป็นลม  - -









บรรยากาศวัดนี้ จะมีธรรมชาติล้อมรอบค่อนข้างเยอะค่ะ แม่น้ำน้ำยังใสอยู่เลย ตามผาหินจะมีพระพุทธรูปอยู่ด้านในเป็นจุดๆค่ะ





















                ถ้าเดินขึ้นมาบนๆ ก็จะมีวัดเป็นจุดๆค่ะ แต่ว่า แอบเหนื่อยเหมือนกัน ทางค่อนข้างชัน บวกกับช่วงนั้นฝนตก มีตะไคร่เยอะ กลัวลื่นค่ะ














                หลังจากที่สิงสถิตในวัดนั้นมานานอยู่ ก็รู้สึกไม่มีอะไรทำ นั่งรถเมล์ย้อนกลับมาเดินเล่นที่ทะเลสาบซีหู ( อีกแล้ว ) เจอเหล่าคนจีนที่ให้บริการเช่าจักรยานมาตามตื๊ออ้ะ เดินตามหลังมาเฉยเลยว่าจะเช่าจักรยานมั้ยคร้าบบบบ??... พวกเราก็ต้องเดินจ้ำๆหนีอีกแล้วววว ….รอบนี้คือ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว จ่ายค่าขึ้นเรือล่องบนทะเลสาบมันเลยละกัน 55555  ให้มันได้ฟีลแบบว่า เรามาถึงหางโจวแล้ว


















                ดีที่ฝนไม่ตก ลมดีหน่อย บรรยากาศโอเค ลงเรือเสร็จ ก็เดินเล่นยาวๆ เนื่องจากคนมันไม่มีอะไรทำจริงๆ 55555
















                จากนั้นก็ได้แต่เดินเล่นเรื่อยเปื่อยจริงๆหาของกินอะไรก็ไม่รู้ เย็นวันนั้นไปไหนมาไหนก็ไม่ได้อีกแล้วเพราะ ฝนตก อีกเช่นเคย …. แล้วก็หมดไปอีกวันนึงค่ะ บอกตรงๆเลยว่า ร่มกันแดด 20 หยวน ที่ซื้อมา ใช้คุ้มที่สุดแล้วสำหรับทริปนี้

--------------------------------------


                วันสุดท้ายของทริปนี้ค่ะ ตื่นนอน เก็บของ เช็คเอ๊าท์ออกจากโรงแรมค่ะ ไม่มีอะไรทำอีกเช่นเคย ไม่มีที่ไป ไม่มีอะไรในหัวอีกแล้ว ไปเดินเล่นฆ่าเวลาที่ทะเลสาบซีหู ( อีกแล้ว ) …. เดินเล่นไปสักพักก็เริ่มเดินไปเรื่อยละ ออกไปที่ไหนต่อไหนก็ไม่รู้เหมือนหาเรื่องหลงทางเล่นๆ เพราะว่าเวลารถไฟนี่กลางค่ำกลางคืนเลย






จุดนึงนี่ต้องถ่ายให้ครบทุกคน 



























                เดินเล่นกันไปสักพัก นึกขึ้นได้ว่า นั่งรถเมล์ไปเจดีย์นู่นนี่นั่นมั้ย ไปก็ไป อ้ะ สรุป หวยก็ไปออกที่ เจดีย์เหลยเฟิง 雷峰塔 Leifeng Pagoda ก็นั่งรถเมล์ยาวๆไปเลยแจ่ะ( ที่จริงมันมีเจดีย์อีกที่นึง แต่หารถเมล์ที่จะไปที่นั่นไม่เจอ ก็เลย ไม่ไปมันแระ 555555 )


                พอมาถึงที่นี่ก็ไม่พ้นคนเยอะอีกแล้วนะฮะ แหงนหน้าขึ้นไปมองที่เจดีย์ คนโผล่ออกมาที่ระเบียงเจดีย์เพียบ เห็นละท้อ…!! ( จีนนี่ประชากรเค้าเยอะจริงๆ ) บวกกับจะเข้าเจดีย์ก็ต้องมีค่าผ่านประตูอีก ก็เออ ไม่เข้าไปละ ถ่ายแค่ด้านหน้าก็พอเนอะ จับจองโลเคชั่นที่พอหนีคนเยอะๆได้ก็พอ เห็นแค่ยอดเจดีย์ก็เอาละว้า 55555

















                หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรทำกันจริงๆจังๆละ กลับสถานีรถไฟ นอนเล่นรอในนั้นแล้วขึ้นรถไฟกลับฉางโจว รอบรถไฟดึกมากค่ะ 2 ทุ่มกว่า ถึงฉางโจวก็ประมาณ 4ทุ่ม เกือบ 5ทุ่มเลย ที่ซวยไปกว่านั้นคือ ตอนถึงฉางโจวแล้ว รถเมล์หมด !!!!! โอ๊ยยยย แค่ช้าไปก้าวเดียวเอง ..!!!!! เหมือนตอนนั้นจะเห็นรถคันสุดท้ายเพิ่งออกไปต่อหน้าต่อตานะถ้าจำไม่ผิดน่ะ ...... เพราะเจ้าช่วยยยยย !!! หลังจากนั้น ความซวยก็มาเยือนพวกเราค่ะ   เริ่มมีแต่เหล่าแท็กซีเถื่อนคอยดักพวกเราเต็มไปหมดค่ะ( เหมือนเค้ารู้ว่าพวกเราเป็นนักท่องเที่ยว) พวกเราก็ต้องปฏิเสธน่ะค่ะ ต่อให้พวกเค้าเดินตามมาพวกเราก็พยายามปลีกตัวห่างน่ะค่ะ ด้วยความที่พวกเราเป็นผู้หญิง ภาษาจีนไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น ก็กลัวการถูกหลอกง่ายค่ะ  แท็กซีป้ายดำตอนนั้นเยอะมากๆ….เดินไปเดินมาตอนนั้นก็ห้าทุ่มกว่าๆแล้ว ทั้งมืดฝน หมอกลง ทั้งอากาศเย็นชื้นจนกระทั่งเดินออกไปถนนใหญ่ เจอรถเมล์สายเดียวกันกับที่นั่งไปมหาลัย  แต่….เค้าขับคนละเส้นทางน่ะสิ ( เพราะมันเป็นป้ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามค่ะ ) ….. ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ตอนนั้นไม่มีทางเลือกค่ะ!! พวกเราก็เลยถือโอกาสขึ้นรถไปก่อน จนกระทั่งคนขับขับรถไปที่จุดพักรถเมล์ ( มันสุดสายพอดี ) และถามว่าพวกเราจะไปไหน ทำไมถึงขึ้นรถเอาป่านนี้? ….พวกเราก็พูดภาษาจีนอันไม่แข็งแรงกับคนขับว่า…. พวกเราจะกลับมหาลัย แต่รถหมด พวกเราเลยขึ้นรถนี้มา มันเป็นสายเดียวกันแต่พวกเราก็เข้าใจค่ะว่ามันเป็นคนละเส้นทาง….. โชคดีที่คนขับคนนี้พูดภาษาอังกฤษได้ !! เค้าเลยชี้ให้เราไปขึ้นอีกคันนึง ซึ่งคันนั้นเค้าจะเป็นคนขับพาไปยังเส้นทางที่พาเรากลับไปยังมหาลัยค่ะ …. โอยยยยย สวรรค์มาโปรด เกือบกลับมหาลัยไม่ได้แล้วมั้ยล่ะ T^T  ??! ถ้ากลับมหาลัยไม่ได้นี่ โป๊ะแตกถูกอาจารย์สวดยับแน่นอนพาลทำเอาเพื่อนๆในมหาลัยมีปัญหาตามไปด้วยเลย !!!


                ทริปนี้ทำให้ได้รับบทเรียนในหลายๆอย่างเลยค่ะ 1. ควรวางแผนเส้นทางให้ดีกว่านี้ ถ้าเป็นไปได้ควรเตรียมจากที่ไทยก่อน ไม่ควรมาหวังที่จีนเพราะปกติจีนก็ล็อกหลายเว็บไซด์อยู่แล้ว แต่ปีนี้ทางจีนเค้ามีความเข้มงวดมากกว่าเดิม 2.หากต้องกลับดึก ในช่วงที่รถโดยสารหมดแล้ว ควรมีนามบัตรคนขับแท็กซีที่น่าไว้ใจได้พกติดตัวไว้บ้างก็ได้ อาจจะถามจากเพื่อนๆ รุ่นพี่ หรืออาจารย์ในมหาลัยก็ได้ 3.พยายามหลีกเลี่ยงการไปเที่ยวช่วงเทศกาลค่ะ ต่อให้เป็นเทศกาลสั้นๆไม่กี่วัน คนจีนเค้าก็ออกมาเที่ยวกันเยอะค่ะ ต่างจากคนไทยที่พักผ่อนอยู่บ้าน  4. ไม่ควรหาที่พักไปเสี่ยงเอาดาบหน้าช่วงเทศกาล เพราะโรงแรมส่วนมากจะเต็ม

                ทริปนี้จะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ค่ะ ก็ตามชื่อหัวเรื่องเลยค่ะว่าแอบผิดหวังด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง แต่ก็เป็นอีกทริปนึงที่เจอแต่ประสบการณ์แปลกๆเข้าตัวทั้งนั้นเลย เอาจริงๆตอนนั้นก็ซีเรียสกับสิ่งที่เจอนะ แต่พอเวลามันผ่านไปเรื่อยๆ พอเอามาเล่ากันทีหลัง ดันขำซะงั้น


            หากชอบก็คอมเม้นได้นะคะ เจอกันใหม่ในบล๊อกหน้าค่ะ

JJDiary