Ads

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[รีวิว]Afternoon Tea จิบน้ำชายามบ่ายสไตล์ไทยๆ ณ Vanida Bangkok

                 สวัสดีค่ะ วันนี้เจเจจะมารีวิวบรรยากาศร้านอาหารไทยที่เจเจได้ไปใช้บริการจิบน้ำชายามบ่ายท่ามกลางแดดอันร้อนระอุที่กรุงเทพ นั่นคือ Vanida Bangkok เป็นบ้านที่เก่าแก่มีอายุกว่า 100 ปี ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 และเคยเป็นที่บัญชาการของทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยใช้ไม้สักในการก่อสร้างทั้งหลัง ในสมัยรัชกาลที่ 7เป็นยุคที่ศิลปะแบบตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทในการสร้างที่อยู่อาศัยของคนไทยมีสไตล์ร่วมสมัยอันทรงเสน่ห์ที่ถูกสืบทอดมายังยุคปัจจุบัน


                ที่ตั้ง ถนนจันทน์, วัดพระยาไกร, กรุงเทพมหานคร, 10120, ประเทศไทย กรุงเทพมหานคร

                เวลาเปิด-ปิด 8.00-21.00 .


                ช่วงนั้น เจเจได้เห็นทางร้านออกโปรโมชั่นใน Instagram ค่ะ ชุดAfternoon Tea ในราคาปกติอยู่ที่ 700กว่าบาท ตอนนั้นทางร้านลดราคาเหลือ 500กว่าบาทค่ะ ก็เลยถือโอกาสจองก่อนค่ะ


                เข้ามาภายในร้านชั้นล่างจะมีซุ้มดอกไม้แบบนี้ค่ะ พร้อมกับมีชื่อร้านนะคะ



                ภายในร้านมีมุมถ่ายรูปสวยๆเยอะมาก ยิ่งมาช่วงเวลาที่ไม่มีคนเยอะ จะทำให้มีอิสระในการถ่ายรูปได้เยอะเลย ภายในร้านมีเฟอร์นิเจอร์ รูปถ่าย ของตกแต่ง ผ้าม่าน บันไดไม้ พวกจานชามลวยลายตกแต่งในธีมสไตล์ไทยโบราณค่ะ ( ใครเอาชุดไทยมาถ่ายที่นี่ บอกเลยว่าเข้ากันมากๆค่ะ )






















                ในส่วนของเมนูในชุดน้ำชานี้ ทางร้านจะมีขนมไทยเป็นพวกลูกชุบ ทองหยิบทองหยอด ฝอยทอง ข้าวต้มมัด ขนมชั้น ข้าวเหนียวทุเรียน( ตัวเลือก ) บราวนี่( ตัวเลือก ) ข้าวเหนียวดำ ( อันนี้ชอบ )  ส่วนพวกผงชาก็มีตัวเลือกให้เยอะมากมายค่ะ มีพวกผงชาฝรั่งด้วยนะคะ ( พอดีว่าเจเป็นคนไม่กินทุเรียนค่ะเลยไม่เอา )


                บอกเลยว่า ทีแรกเห็นในภาพโฆษณานึกว่าทางร้านจะให้แค่นิดเดียวเหมือนกับร้านอาหารที่อื่นๆ แต่พอมาเห็นของจริงนี่  คือบอกเลยว่า มันเยอะมากกกกก เยอะจนกินกันแทบจะไม่หมดเลยค่ะ ใครที่ชอบทานของหวานนี่ ไม่ควรพลาดค่ะ






                พวกอุปกรณ์กาน้ำชา แก้วน้ำ จานช้อนส้อมนี่สวยมาก คือสวยจนแบบ ไม่กล้าแตะต้องไม่อยากจะกินเลยอ่า ><










                บอกตรงๆเลยว่า เห่อการถ่ายรูปมากจริงๆ ( กว่าจะได้กิน ) ^^









              จบการรีวิวค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณแฟนที่ถ่ายรูปให้ในครั้งนี้ หวังว่าจะชอบกันนะคะ อยากจะบอกว่าชุดน้ำชาชุดนี้ สำหรับ 2คนกินนี่ คุ้มสุดๆไปเลยค่ะ Hope you enjoy my blog



        ปลบล็อกนี้เป็นบล็อกรีวิวสั้นๆส่วนตัวของเจเจเองค่ะที่อยากจะมาแชร์มาบอกต่อสิ่งที่เจชอบ เป็นเพียงความชอบส่วนตัวค่ะ ไม่มีการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ใดๆแม้แต่น้อยค่ะ This blog is written by me, without any sponsers.

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[รีวิว]เอาใจคนรักคาเฟ่สุดโรแมนติก กลิ่นอายสไตล์ฝรั่งเศส ณ Café Claire ย่านกรุงเทพมหานคร

                สวัสดีค่ะ วันนี้เจจะมารีวิวร้านคาเฟ่สุดเลิฟแดนกรุงเทพมหานครที่เจได้มาโอกาสมาอุดหนุนที่นี่ คือ ร้าน Café Claire นั่นเองค่ะ




                พิกัดร้านก็อยู่ที่ 110 ถนน วิทยุ แขวง ลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330 อยู่ในตึก Oriental Residence Bangkok

             เวลาเปิด-ปิด 6.00 – 23.00 .



                ณ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีโรคระบาดแพร่กระจายหนักมากค่ะ นั่นคือ ไข้หวัดโควิด 19 ค่ะ ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต้องรีบทำยอดขายเรียกลูกค้ากลับมาอุดหนุนให้ได้ ออกโปรโมชั่นมากมาย ตอนนั้นเจได้จองกับทางเพจ ‘Hungry Hub’ ค่ะเนื่องจากว่ามีโปรโมชั่น ราคาดีต่อใจสุดๆ ( จะมีเพียงบางเมนูเท่านั้นที่เข้าร่วมรายการกับ Hungry Hub นะคะ ) ( ระยะเวลาในการทานอาหารมีเวลาจำกัดนะคะ วันนั้นจะมีเพียงแค่ 2 ชั่วโมงค่ะ โดยเวลาจะเริ่มจับตอนที่อาหารจานแรกมาเสิร์ฟถึงมือเราค่ะ และต้องทานให้หมดด้วยนะคะ )


            บรรยากาศในร้าน คือแบบ สวยมากกกก สวยงามตามท้องเรื่องเลยจริงๆ ภายในร้านอารมกึ่งบาร์กึ่งร้านอาหารแบบสไตล์ต่างชาติจริงๆ ในร้านมีเพลงคลาสสิกฝรั่งเศสกล่อมเป็นบรรยากาศ ทำให้รู้สึกว่าโรแมนติกไปอีก ><





                    ในระหว่างที่นั่งรออาหาร ก็ขอเห่อถ่ายรูปหน่อยเถอะ












                บนโต๊ะอาหารจะมีขนมปังฝรั่งเศสวางไว้ให้ทานเล่นอยู่แล้วค่ะ และมีเหมือนเนยๆครีมๆรสมันๆวางไว้ข้างเคียงด้วยค่ะ






                สำหรับจานแรกที่พวกเราสั่งมาจะเป็นซุป กับสลัด ค่ะ เป็นพวกเมนูทานเล่น อาหารเรียกน้ำย่อย







                และแล้วก็มีเมนูไฮไลท์ของแปลกแหวกแนวสำหรับคนไทยเลย นั่นก็คือ Escargot ( แอสคาโก้ ) น้องหอยทาก ดีดีนี่เอง ( อยากจะบอกว่า เป็นเมนูจานโปรดของเจเจเลยก็ว่าได้ ^^ )

            แต่เดี๋ยวก่อนน้า มันไม่ใช่หอยทากกระดึ๊บๆบนพื้นแล้วเค้าจับมาทำให้เรากินนะ มันคือหอยทากเลี้ยงค่ะ

            ทีแรกตอนก่อนที่จะกิน ก็คิดนะว่า เออ จะกินได้รึเปล่านะ?? … แต่เท่าที่เคยเห็นคนอื่นกินกันเค้าบอกว่ามันเหมือนเรากินหอยจุ๊บแจงหอยชักตีนบ้านเราอะไรทำนองนี้แหละ




                เห่อเมนูไข่เบเนดิกตามเทรนเค้า แต่ดันสั่งมากไปหน่อย ลืมไปว่าสำหรับชาวต่างชาติ ไข่จะไม่เสิร์ฟเปล่าๆ จะต้องตามมาด้วยขนมปังเสมอ แอบตัดกำลังไปครึ่งกะเพาะอาหารเลย












                เมนูรีซอตโต้ ก็เป็นอีกเมนูโปรดของเจเหมือนกันค่ะ ข้าวตุ๋นไวน์กับปลา กลมกล่อมมาก





                มาทานอาหารฝรั่งทั้งที จะขาดเมนูสปาเก็ตตี้ ก็ยังไงๆอยู่เนอะ ^^ ( ทีแรกนึกว่าสั่งมาแล้วจะได้นิดเดียว ที่ไหนได้ ได้เยอะมากเลย เกินคุ้มสุดๆไปเลยค่ะ )









                จานหนักของพวกเราก็ไม่พ้นสเต็กเนื้อเลยค่ะ เนื้อทั้งสองจานนี้ก็อุดมไปด้วยรสชาติอโรม่าของไวน์อีกเช่นเคยค่ะ ( ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมชาวฝรั่งเศสถึงชอบไวน์กันจริงๆ )








                จานสุดท้ายนี้อารมเอาใจคนสายเคี้ยวเพลิน 







                ปิดท้ายด้วยไอศกรีมหอมหวานเบอร์รี่ๆ ฟินไปข้าง




                การไปครั้งนี้ ประทับใจในร้านนี้ทุกอย่างค่ะ ตั้งแต่บรรยากาศร้าน ทำเลที่ตั้ง อาหารและรวมถึงการบริการของพนักงานค่ะ


                จบการรีวิวค่ะ ต้องขอขอบคุณคุณแฟนที่ถ่ายรูปให้ในครั้งนี้ หวังว่าจะชอบกันนะคะ Hope you enjoy my blog

           ปล. บล็อกนี้เป็นบล็อกรีวิวสั้นๆส่วนตัวของเจเจเองค่ะที่อยากจะมาแชร์มาบอกต่อสิ่งที่เจชอบ เป็นเพียงความชอบส่วนตัวค่ะ ไม่มีการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ใดๆแม้แต่น้อยค่ะ This blog is written by me, without any sponsers.

[ไดอารี่]สมัยเป็นนักศึกษาเรียนที่จีนปี 1 หนีเที่ยว หนีร้อนไปหาหนาว ลี่เจียงทริป พาร์ท 3/3 Blue Moon Valley + จุดชมวิวเมืองเก่าลี่เจียง (蓝月谷 + Lijiang Old Town Viewpoint)

                ไดอารี่พาร์ทสุดท้ายของทริปลี่เจียงนะคะจะเป็นครึ่งวันหลังจากไปเที่ยวภูเขาหิมะ และวันสุดท้ายที่พวกเราอยู่ที่เมืองลี่เจียงค่ะ

            หลังจากที่พวกเรานั่งกระเช้าไฟฟ้าลงมาจากภูเขาหิมะนะคะ คนขับรถได้พาพวกเราไปถ่ายรูปเล่นชมธรรมชาติที่

             Blue Moon Valley蓝月谷 ( ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อภาษาไทยค่ะ ) คนไทยจะเรียกปากต่อปากกันว่า ทะเลสาบมรกต อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ แต่ดูเผินๆนี่สีน้ำทะเลสาบมันก็เหมือนสีเขียวมรกตจริงๆแหละ ซึ่งมันสวยมาก รอบด้านอากาศเย็นสบาย บรรยากาศกำลังดีค่ะ เพื่อนๆที่ก่อนหน้านี้หน้ามืดตามัวกันที่ภูเขาหิมะด้านบนนั้น ก็กลับมาตื่น ตาสว่างกันเลยทีเดียว ( อารมว่า มีอากาศให้หายใจแล้ว 5555 )





















































                กลับที่พักไปก็หมดแรงข้าวต้มกันไปข้าง พักผ่อนกันเยอะมาก หลับยาวกันไปเลยคนๆ หลับเป็นตายสุดๆ กลับจากที่หนาว เปิดฮีตเตอร์ ซุกผ้าห่มอุ่นๆ แล้วก็ ...ZzzZZzz....

 

                วันสุดท้ายที่อยู่ลี่เจียงแล้ว ก่อนกลับไปเมืองคุณหมิง เจ ไอซ์ และเหวิน ก็ไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่ากัน แต่รอบนี้เดินไปที่จุดชมวิวค่ะ เนื่องจากตอนนั้น นก ป๊อป แก้วและไนท์ไปมาแล้ว แต่ตอนนั้นพวกเรา 3 คน ดันหาทางขึ้นไม่เจอสะงั้น ^^




                    ขึ้นไปที่จุดชมวิว ทีแรกดูเหมือนนึกว่าชิวๆไม่มีไรมากนะ เอาจริงๆในความรู้สึกไม่ค่อยต่างจากที่เดินขึ้นคานที่ซีซาน 5555




















เพิ่งรู้ว่าขึนจุดชมวิวก็ต้องมีค่าผ่านประตู  เสียเงินแล้วทั้งที อยู่ให้นานๆหน่อยละกันนะ















                ก่อนบอกลาเมืองเก่าลี่เจียง อะไรที่อยากกินที่ยังไม่ได้กินก็เดินตามๆกินกันไปให้หมด โดยเฉพาะหม่าล่าซาวข่าวเสียบไม้ที่เป็นเนื้อจามรีนี่ อร่อยมาก หอมปากหอมคอ พวกเจกินกันยันวินาทีสุดท้ายก่อนกลับ ( อารมเหมือนกินเนื้อวัวเลยค่ะ คนที่นั่นปรุงเก่งมาก ไม่มีกลิ่นสาบเลย ^^ และที่สำคัญคือ ถูกมาก ไม้ละ 5 หยวน )




                มาเห็นแม่ค้าคนนึงเข็นรถเข็นขายขนมอะไรก็ไม่รู้ ทีแรกพวกเราก็นึกว่าเค้กพื้นเมืองมั้ง ก็เห็นมันดูมีชั้นๆ มีไส้ครีม แล้วตอนนั้นึกว่าหน้าขนมนี้เป็นคาราเมล ( มโนเองล้วนๆเนี่ย 55555 ^^ ) ก็เลยลองซื้อมากินดู.... แต่ว่าเท่าที่กินตอนนั้นรู้สึกว่ามันจืดอ่า ไม่ได้ชอบอ้ะ  TT^TT ( ความรู้สึกเหมือนแบบว่า มันไม่ใช่อ้ะ แกรรรร ..!!!!  ) แต่พวกเราก็ไม่ทิ้งนะคะ หลอกเอาไปให้เพื่อนๆที่เหลือช่วยกันกินคนละคำจนหมดก็พอ 555 แค่นี้ก็ไม่ต้องทิ้งแล้ว





                พวกของฟงของฝากก็ถ้าใครจะหิ้วกลับไปให้ใครก็ซื้อกันไปให้พร้อม เหมือนพวกขนมไส้กุหลาบอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ จำได้ว่าไอซ์ชอบมาก ซื้อกลับไปหลายห่อจนแม่ค้ายิ้มเลย




                ส่วนกลุ่มของนกมาเล่าให้เจเจฟังว่า ก่อนกลับพวกเค้าก็ไปลองอาหารแปลกๆ แบบนมจามรี ( รึเปล่าไม่แน่ใจ ?? ) สั่งถ้วยเดียว แต่กินด้วยกัน 4 คน เพราะพวกเค้าไม่กล้าสั่งคนละถ้วยเพราะกลัวกินไม่หมดแล้วเสียดาย ><

             แต่เพื่อนๆเค้าบอกไม่ชอบอ้ะ มันคาวสำหรับพวกเค้าแล้วมันก็ไม่ได้เป็นนมเข้มข้น เหมือนน้ำเปล่า ทำนองนั้น ( อาจจะอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันละมั้งนะ )




                จากนั้นก็นั่งรถกลับไปที่สถานีรถไฟและนั่งรถไฟนอนกลับคุณหมิงตามเดิมค่ะ และเนื่องจากว่านั่งรถไฟตอนกลางคืนมาถึงคุนหมิงตอนเช้า พวกเรางัวเงียมาก อารมว่าเพลง 'ยังไม่ได้นอน' นี่ลอยมาในหัว 555 กลับถึงหอก็พักผ่อนเต็มที่เลยค่ะ

และแล้ว ทริปลี่เจียงก็จบลงเพียงเท่านี้ค่า