Ads

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ suzhou แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ suzhou แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นเด็กมหาลัยเรียนที่จีนปี 2 โดดหอ เที่ยวแบ๊คแพคเป้คนละใบไร้การถูกจับได้ พวกเจไปไหนกันบ้าง?? ตอนที่ 1 พาร์ท 2/2 ซูโจวทริป (Suzhou 苏州)

                สวัสดีค่า หลังจากที่อ่านพาร์ทแรกไปแล้ว เป็นยังไงบ้างคะ คงจะเห็นว่าพวกเจเหนื่อยกันมากเลยสิใช่มั้ยคะ 5555 งั้น มาเริ่มกันเลยค่ะ  ( อย่างที่บอกนะคะ อรรถรสอยู่ที่คำบรรยาย ไม่ได้อยู่ที่รูปภาพเลยจาาา )

                พวกเราก็หลับลึกเหมือนราวกับม่องเท่งไปเลย (ด้วยความที่เมื่อวานมันเหนื่อยจริงๆ ปวดเท้ายังไม่หายเลย ) ก็ตื่นไปกินข้าวเช้าร้านใกล้ๆที่พัก ไม่รู้แหละว่าเค้าเรียกว่าอะไร เห็นแล้วก็เออ ชี้ๆๆ จิ้มๆๆๆ แดกได้ก็แดก แดกไม่ได้ก็โยนทิ้งไปแค่นั้นเอง คิดมากทำไมเนอะเนอะเนอะ ^^ แต่….ด้วยความที่ซอลไม่ค่อยกล้ากินของแปลกเกิน ออมกินได้ทุกอย่าง  สุดท้ายเรามาจบที่ไอก้อนๆเนี่ยะๆ มันเหมือนกับ ซาลาเปาทอดละมั้งนะ  ก็ซื้อแต่ไอเนี่ยแหละ แล้วเอามากินด้วยกันคน





                ทริปของวันนี้นะคะ พวกเราได้ไปที่สวนจัวเจิ้ง   拙政 Humble Administrator’s Garden, อยู่ในใจกลางเมืองค่ะ เป็นสวนสาธาณะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในซูโจว และได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกโดยสหประชาชาติ UNESCO ด้วย ก่อนที่จะมาที่นี่พวกเราก็ได้ถามอาอี๋ที่โรงแรมแล้วว่ามายังไง เค้าก็แนะนำรถเมล์สายนี้ๆๆๆ นั่งมาตามที่แกบอกก็ถึงค่ะ แกได้บอกถึงให้พวกเราระมัดระวังตัวด้วยค่ะเนื่องจากว่าที่นี่คนเยอะมากๆ ระวังของหาย พวกกระเป๋าตัง มือถือ และรวมถึงต้องระวังไกด์เถื่อนด้วยค่ะ  


















                ที่จีนนี่ คน everywhere จริงๆ ประชากรเยอะสมชื่อเลย ขนาดมาที่ๆ area กว้าง แต่คนก็มาออกันเยอะอยู่ดี











                ต้องนั่งริมน้ำเลียนแบบหนังพี่มากนิดนึง คือช่วงนั้นฮิตมาก เดินผ่านคนจีนพอคนจีนรู้ว่าเราเป็นไทยไม่มีใครไม่ถามเราเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ 5555






                เที่ยวหน้าสดนี่แหละเมคองเมคอัพไม่สนใจอ้ะ ไม่มีเวลงเวลามาสนความสวยความงามกันละค่ะ แบ๊คแพ๊คนี่น้า เที่ยวแบบประหยัดค่ะประหยัด 




                หลังจากที่ออกจากสวนนะคะ เราก็ออกมาหาอะไรกินค่ะ มาเจอร้านหมี่ร้านนึง มันคือหมี่อะไรก็ไม่รู้ ป้าคนขายบอกของขึ้นชื่อของเมืองนี้แล้วบวกกับลูกค้าล้นร้านเลย เหมือนมันขายดีเอามากๆอ้ะถ้าเทียบกับร้านอื่นๆข้างเคียง เราก็เออ กินก็กิน หิวแล้วปวดท้องเดี๋ยวเที่ยวไม่หนุกอีกหมี่อะไรก็ไม่รู้ กินแล้วก็แอบหวานๆนิดๆ ( เห็นครูจีนบอกมาว่า ว่ากันว่าคนเมืองนี้อาหารจะแอบไปทางหวานถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆน่ะ )





                กินอิ่มแล้วพวกเราก็ย้อนกลับมาเที่ยวที่เดิมๆค่ะ ผิงเจียงลู่ 平江路 ก็ถนนคนเดินข้างแม่น้ำทั่วๆไปนี่แหละค่ะ เดินดูนู่นนี่นั่น เวลาเหลือเยอะ คนเยอะมาก คนแน่นมากเป็นปลากระป๋องสุดๆ ก็จะมีพวกของกิน ของที่ระลึก คาเฟ่ร้านกาแฟน่ารักๆ กิ๊ฟชอปเยอะแยะมากมายก่ายกองเต็มไปหมด แต่ว่าราคานี่ก็แพงหูฉี่ไปเลยทีเดียวเนื่องจากว่ามันเป็นย่านท่องเที่ยวอ้ะเนอะ แต่ก็น่าเดินอยู่





















                บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศขึ้นรถเมล์ ขึ้นลงๆๆมั่วๆ อยากไปไหนก็ไป นั่งไปยาวๆ ( ขี้เกียจเดินไงคะ 555 ) ก็ค่ารถมันแค่หยวนสองหยวนเอง ถูกมากกกกกก แถมระบบรถเมล์ที่จีนก็ดีมากด้วย เอาจริงๆบางป้ายพวกเราก็ไม่กล้าลงนะคะ เพราะว่า ประตูรถเมล์ยังไม่ทันเปิดเลย เจอเหล่าอาม่าป้าป้าอาจุมม่ามาจี้ขายทัวร์รุมกรูกันเสียแล้ว เหอะๆๆ เลยคิดสะว่า นั่งต่อเห๊อะ….




                เจอย่านๆนึงเหมือนเป็นย่านศูนย์การค้า จัด event อะไรก็ไม่รู้เป็นเทศกาลบางอย่าง แต่คนเยอะยังกะปลากระป๋องเลย 

                ถ่ายแค่หน้งานพอ








                จนมาถึงประมาณ 5-6 โมงเย็น ฟ้าเริ่มจะมืดลงแล้ว พวกเราไปที่ย่านถนนคนเดินอีกที่นึงค่ะ ซานถ่างเจีย 山塘街 เป็นถนนคนเดินที่ใหญ่แบบมากๆๆๆและมาก พร้อมกับมีแสงสีที่สวยงาม ถามว่าเดินทางมายังไงน่ะหรอ ก็นั่งรถเมล์ตามที่ถามอาอี๋จากที่พักนี่แหละค่า ใครที่มาเที่ยวเมืองซูโจวแนะนำให้มาที่นี่นะคะ  ( อย่างที่กล่าวพวกเราไม่ได้เก็บภาพสวยๆเลยค่ะ ไม่ได้มีกล้องมีมือถือถ่ายภาพสวยๆ แต่สถานที่นี่ของจริงไม่ได้แย่เลยค่ะ ) 


                ....ตอนนั้นที่ไป.... แอบต่อรถยากนิดนึง เนื่องจากรถเมล์ที่พวกเรานั่งอยู่คนขับอยู่ๆ พูดเป็นภาษาจีนว่า ...''ขอโทษนะ... แต่คันนี้ไปไม่ถึง''... ซึ่งคนในรถ พวกเรา รวมถึงคนจีนคนอื่นนี่ถึงกับ ..อึ้ง.. ห๊ะะะ..!!! อะไรนะ...??!! จะทิ้งพวกเราดื้อๆงี้ไม่ได้!!!....  พวกคนจีนนี่ก็โวยวายช้องแช้งๆๆๆเสียงดังใหญ่เลย -...- แต่สุดท้ายพวกเราทุกคนก็โดนทิ้งไว้กลางทางค่ะ แงงงงง ..TT^TT..  จนกระทั่งก็เออ ตัดสินใจเดินด้อมๆมั่วๆตามหลังกลุ่มคนจีนว่าววพกเค้าไปไหนกัน สรุป พวกเค้าไปขึ้นรถสายใหม่ที่พาไปที่นั่น  รอดแล้วววว ^^ !!!!....






























ยืนงงในดงคนจีน  ^)^















                วันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว พวกเราก็เดินเล่นเตร่ๆแถวที่พักแหละค่ะ อารมอยากแวะอยากเดินที่ไหนก็ไป ชะโงกๆเอา แล้วก็ก่อนจากเมืองซูโจว ได้กล่าวขอบคุณบอกลาอาอี๋กับสามีแกที่ยอมให้พวกเรา 3คนมาพักตลอดทริปนี้ ที่พวกเค้าไว้ใจพวกเราเอามากๆ ^^  ( ที่ซุกหัวนอนทริปหนีเรียนของเรา )  จากนั้นก็แวะเที่ยวนิดๆหน่อยๆ และนั่งรถไฟกลับเมืองฉางโจวช่วงเที่ยงค่ะ


                ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ทำให้พวกเราได้เรียนรู้อะไรมากมายพร้อมรู้เลยว่าถ้าจะไปเที่ยวอีกรอบหน้าจะต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง แต่ก็รู้สึกดีที่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นระหว่างการหนีเที่ยวค่ะ และที่แน่ๆคือ มัน สนุก มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

 

                เจอกันใหม่ในบล็อกหน้านะคะ ถ้ามีคอมเม้นอะไร แชร์กันมาได้เลยนะคะ 



JJDiary


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นเด็กมหาลัยเรียนที่จีนปี 2 โดดหอ เที่ยวแบ๊คแพคเป้คนละใบไร้การถูกจับได้ พวกเจไปไหนกันบ้าง?? ตอนที่ 1 พาร์ท 1/2 ซูโจวทริป (Suzhou 苏州)

            สวัสดีค่า บล็อกนี้เจจะมาเล่าถึงเรื่องราวที่ว่า ช่วงระหว่างเรียนที่จีน เจเจและเพื่อนๆ ไปไหนมาบ้างอันนี้จะเป็นเรื่องราวสั้นๆที่เจพอจะจำได้นะคะ ( มันก็ผ่านมาเป็นปีๆแล้วแหละ หลายอย่างเจก็จำไม่ค่อยได้แล้วบวกกับไปเที่ยวไม่แบกกล้อง มีแค่โทรศัพท์คนละเครื่อง รูปที่จะเอามาให้ดูจะเป็นรูปที่เจพอจะขุดค้นเจอนะคะ มันนานแล้วจริงๆ แอบเสียดายนิดนึงค่ะ ฮือออออออออ … TT^TT )


***ปล. บล็อกเหล่านี้ภาพจะไม่มีความคมชัดหรือความว้าวใดๆทั้งสิ้นนะคะ เนื่องจากว่าช่วงนั้นโทรศัพท์มือถือเจยังเป็นมือถือพวกออปโป้รุ่นเก่าๆ รวมถึงเพื่อนๆมือถือก็ไม่ได้มีเป็นรุ่นใหม่ๆ เที่ยวแบบคนบ้านๆค่ะ ดังนั้นภาพจะไม่ชัด ไม่ว้าว และภาพจะเลือนลางมากค่ะ บวกกับที่พวกเราเที่ยวแบบชะโงก เน้นไปแปปเดียวแล้วย้ายที่ ทั้งนี้ทั้งนั้นเจจะใส่ภาพเพื่อแค่ให้มันเป็นตัวประกอบเฉยๆค่ะ โดยส่วนมากจะเป็นเน้นอ่านแทนนะคะ***


มาเริ่มกันเลยดีกว่านะคะ

แนะนำตัวละครกันจ้า  ในหอพักที่เจอยู่ อยู่ คนค่ะ และนี่ก็คือเพื่อนๆรูมเมทของเจเองค่ะ ซอล กับ  ออม ค่ะ





เมืองที่เจไปเรียนในตอนนั้นชื่อว่า ‘‘ฉางโจว’’ Changzhou 常州 ค่ะ ไม่ใช่ ‘‘หางโจว’’ Hangzhou 杭州 นะคะ  มันอยู่คนละที่กัน  แต่มันอยู่ใกล้กันค่ะ





            นี่ค่ะ เปิดรูปให้ดูกันชัดๆเลยนะคะ  ฉางโจวอยู่มณฑลเจียงซู  ส่วนหางโจว อยู่มณฑลเจ้อเจียงค่ะ  แต่สามารถนั่งรถไฟความเร็วสูงแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึงกันแล้วนะคะ


            ในมหาลัยของเจ  ทุกๆเทอมที่ 3 นักศึกษาทุกคนจะต้องไปเรียนวิชาภาษาจีนที่ประเทศจีนเป็นระยะเวลาสองเดือนกว่าค่ะ  สำหรับเจนั้น การอยู่แค่ในหอพักมหาลัยมันช่างน่าเบื่อมากกกกก มากๆๆและก็มาก ( ก ไก่ล้านตัวเลย )  เจและเพื่อนของเจก็เลยวางแผนตั้งแต่ที่ไทยก่อนบินไปจีนค่ะว่า..  ‘‘พวกเรา จะโดดหอ ย่องเบา ออกจากมหาลัย แล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองอื่นแล้วกลับมาเรียนต่อ !!!!!!’’  ต้นเหตุที่ทำให้พวกเราอยากหนีเที่ยว ก็คือ ‘‘หนัง พาไป’’ นั่นเอง 55555 เตี๊ยมกันตั้งแต่เนิ่นๆที่ไทยเลย  แต่ด้วยความที่เราไม่ได้หาข้อมูลมาค่ะ เนื่องจากว่า ปีนั้นเป็นที่มหาลัยเปลี่ยนวันการเปิดปิดภาคเรียน ทำให้นักศึกษาทุกคนต้องบินไปเรียนเทอม 3 ที่จีนในวันรุ่งขึ้นหลังจากสอบไฟนอลที่ไทย เรียนต่อเนื่องจนไม่มีเวลาให้พักทำใจก่อนบินไปจีน  ( พูดง่ายๆก็คือ ไม่มีปิดเทอมให้หยุดหายใจเลย ฮืออออออออ …. )

ดังนั้น ก่อนไปเรียนที่จีน จึงได้ทำการดาวโหลดแอพเหล่านี้ทั้งในมือถือและในแลปทอปส่วนตัว ดังนี้ค่ะ

ถ้าในมือถือ เจใช้ betternet กับ vpn master


  



ถ้าในแลปทอป เจใช้ freegate กับ ultrasurf ค่ะ


  



            ในปีนั้น เป็นปีที่เจโชคร้ายมากค่ะ คือ เพิ่งรู้ว่า จีน ระงับ ไลน์ Line และ ฟรีเกต freegate !!!! คือ แบบโอ้ มาย ก็อดดดดดด OMG  ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยเนี่ยยยยยย…!!!! จะบินอยู่แล้วง่า TT^TT แอพก็เตรียมมาแค่นี้  แล้วชั้นจะทำยังไงดีย์ …  TT^TT  ก็เลยแบบ เออ เอาละว้า ไปตายเอาดาบหน้ากันเพื่อน เป็นไงเป็นกันละว้า !!......

            บินกันเป็นเวลาวันกว่าๆค่ะ จากภูเก็ตไปกวางโจว  จากกวางโจวไปหนานจิง  จากหนานจิงนั่งรถทัวร์เข้าฉางโจว  พอถึงหอพักที่นั่นก็เหนื่อยเลยหมดแรงข้าวต้มกันไปเลย.....

            พอเริ่มเรียนและใช้ชีวิตอยู่ในมหาลัยสัปดาห์ที่  1 นั้น เจและเพื่อนรูมเมทมีความลำบากทรมานในการหาอินเตอร์เน็ตเล่นยากมากๆเลยค่ะ T^T  มีแต่วายฟายรวมใช้กันทั้งชั้น ชั้นนึงก็มีตั้งหลายห้องด้วย ความเร็วของวายฟาย ขอบอกเลยว่า มัน อืด มากกกกกกกกก.... แม้แต่จะเชื่อมแอพพวกนี้ยังทำไม่ได้เลย แต่ก็ท่องในใจกันค่ะว่า ช้า ดีกว่า ไม่ได้เล่น  นะคะ...

จุดเริ่มต้นของทริปเลยก็คือ ตอนนั้นเป็นเที่ยงคืนของวันศุกร์ พวกเรากำลังเล่นแลปทอปส่วนตัวกันอยู่ จนรูมเมทเจ ออมได้พูดขึ้นมาว่า....

ออม :  ‘‘นี่เธอ เราว่าพวกเราจะไปกันวันนี้’’ 

เจเจกับซอล ก็เลยแบบว่า … : ‘‘ห๊ะ.. อะไรนะ วันนี้ นี่หมายถึง ตอนเช้าที่จะถึงนี้เนี่ยนะ??’’ 

ออม :  ใช่ ไปวันนี้เลย  จะแย่งเน็ตหาข้อมูลจนกว่าจะได้แหละ

            พวกเราก็เลย กระจายกันหาข้อมูลค่ะ ดูตามบล็อกคนอื่นบ้าง tripadvisor สื่ออื่นๆ  ตอนนั้นกว่าจะเสร็จก็ล่อไป ตี เกือบตี 3 แล้ว  วีแชทไปถามเพื่อนที่จีนบ้างว่าเคยไปเมืองนี้มั้ย ไปที่ไหนมาบ้าง เพื่อนก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างและพวกเค้าไม่ค่อยสะดวกตอบเพราะเด็กจีนอ่านหนังสือกันหนักมากๆ ข้อมูลอื่นๆก็หาได้ไม่เยอะเลยค่ะ หลายเว็บโดนบล็อก vpn ก็พัง เน็ตเน่าบ่อย ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น นอกนั้นคือกะเอาไปตายเอาดาบหน้าอย่างเดียวเลย ดึกไปมากกว่านี้ก็ไม่ได้ไม่งั้นจะนอนไม่พอ ( ที่จริงตอนนี้ก็ไม่พออ้ะ) เพราะต้องตื่น 6 โมงเช้าเพื่อที่จะนั่งรถเมล์ไปสถานีรถไฟอีก 1 ชั่วโมงค่ะ  ตอนนั้นนี่แทบจะไม่ได้นอนเลย แปปเดียวฟ้าก็สว่างแล้ว  ตื่นมา เตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่าง เสื้อผ้าตัวสองตัว เที่ยวแบบคนซกมกๆ แล้วเดินย่องเบา ( เดี๋ยวห้องคนอื่นมันตื่น ) ผ่านหน้าอาอี๋ที่หอ ยิ้มให้แกหน่อยทีนึง... เดินออกไปหน้าประตูรั่วมหาลัย ก็เจอลุงยาม แต่ก็ทำตัวปกติเข้าไว้ แล้วก็ออกไปขึ้นรถเมล์หน้ามหาลัยเลยค่ะ ( นี่แหละ คือที่มาที่ว่าทำไมพวกเราถึงออกมาได้ >0<  )


            หลับในรถเมล์ 1ชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟพอดี พวกเราก็ไปซื้อตั๋วรถไฟกันดาบหน้า ( ไม่ได้เตรียมข้อมูลมา แต่คิดว่ามั่นใจว่ามันต้องมี เพราะคงจะเหมือนรถบขส. จากภูเก็ตไปพังงาวันละหลายๆเที่ยวรถละมั้งนะ 55555 ) …. แล้วสุดท้ายมันก็มีจริงๆด้วยจ้า เย้..!!!ตอนนั้นดีใจมากที่ไม่เสียเที่ยว ก็ซื้อตั๋วรอบ 9 โมงกัน จากนั้นก็รอจนถึงเวลา แวะหาไรกินแถวนั้น แล้วก็ขึ้นรถไฟค่ะ  ( เมื่อเข้าไปนั่งในรถไฟแล้ว ก็โทรบอกเพื่อนคนอื่นๆว่า ถ้าอาจารย์ถามว่า พวกเราหายไปไหน?... ให้ตอบว่า ไปธนาคารเพราะบัตรกดเงินค้างในตู้ 55555 ..... เนียนป่ะล่ะ.......... ไว้ใจเพื่อนมาก ไม่ทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ )









            จากฉางโจวไปเมืองซูโจวใช้เวลาแค่ครึ่ง ชม.เอง ซึ่งมัน ไว มากกกกกกกกกกกกกกกกก และรถไฟความเร็วสูงที่นั่นสะอาดและสะดวกมากจริงไม่แพ้น้องญี่ปุ่นเค้าเลย หลังจากที่พวกเราลงจากรถไฟ โดนแต่ลุงๆป้าๆอาอี๋มารุมขายทัวร์ใหญ่เลย ( เหมือนเค้ารู้ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยว ) พวกเราเลยต้องทำการเดินจ้ำๆๆๆๆๆรีบหนีขึ้นรถเมล์ ( สายอะไรก็ได้ที่พาไป หู่ชิว 虎丘 Tiger Hill Pagoda )  และก็ไปเจออยู่สายนึง ก็เลยรีบเข้าไปนั่งในรถเลย ( ขนาดเข้าไปนั่งในรถแล้วนะพวกป้าๆยังตามตื๊อมาขายของหน้าประตูทางเข้ารถเลยอ้ะ วร้ายยยยยยยยยย…!!!!!!! )

            นั่งรถไปจนถึงสุดสายก็มาถึงหู่ชิว虎丘  พอลงจากรถก็มาเจอคุณป้าจะมาหลอกขายค่าเข้าที่อื่น ( อารมว่าเหมือนแกคงจะได้ค่าน้ำละมั้งอะไรทำนองนั้น ) พวกเราก็ต้องเดินหนีป้า ป้าก็พูดอะไรไม่รู้ฟังไม่ออกอ้ะ ป้าแกตื๊อๆๆๆ ชักชวนอยู่นั่นแหละ เดินตามมาเฉ๊ยยยยเลย จนสุดท้ายป้าแกก็ไม่ตามมา 555


เอาจริงๆ ยังไม่รู้เลยว่าที่นี่มันคืออะไร มันเหมือนวัดกึ่งสวนสาธารณะอะไรทำนองนั้นอ้ะ แต่ว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาก็มา ไปก็ไป






            ต้องยกย่องพี่จีนเค้านิดนึงนะว่าพี่จีนเค้าอนุรักษ์ดูแลรักษาสถานที่ท่องเที่ยวได้ดีมากๆค่ะ ในความคิดหลายๆคนเค้าอาจจะยังมองว่าเป็นประเทศสกปรก ไม่มีความเป็นระเบียบ แต่ขอบอกเลยค่ะว่าเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยว เค้ามีมาตรการที่ดีกว่านั้นค่ะ เค้าดูแลทุกอย่างได้ดีจริงๆ เข้ามาเดินตามสวนในนี้ น้ำยังใส ต้นไม้ ธรรมชาติทุกอย่างยังอยู่สภาพที่ดีมากๆค่ะ





















            เดินผ่านทะลุทะลวงสวนสาธารณะ แม่นงแม่น้ำมาตั้งพักนึง สุดท้ายก็เข้ามาส่วนลึกที่สุด เป็นวัด แต่ว่า….มันปิดปรับปรุงอยู่อ้ะ อดเข้าไปเลย -__-  ถ่ายแค่ด้านหน้าก็พอเนอะ 555555555  ถือว่าได้มาแล้ว






เข้ามาข้างในยังกับว่าเป็นวัดเลย

            ออกจากหู่ชิว ก็มายังถนนคนเดิน มาหาของกินบ้างไรบ้างจนพวกเราเกือบลืมไปว่า ยังไม่ได้หาที่พักนี่หว่า..??!!! OoO เห้ยยย นี่มันสำคัญมากเลยนะแกร..ลืมไปได้ยังไงเนี่ย…!! เราไมได้ทำการจองโรงแรมอะไรเลยนะเว้ย …. Seriously??! ไม่มีทางเลือกค่ะ ได้แต่เดินจ้ำๆๆตามฟุตบาท เดินมาราธอนเพื่อตามหาที่พัก เดินผ่านทั้งโรงแรมตึกหรูหรา โรงแรมเก่าๆ เกสเฮ้า อพาทเม้น บลาๆๆๆ แต่พวกเค้าไม่รับให้พวกเราเข้าพักเลยสักที่นึง T_T เนื่องจากในปีนั้นๆจีนมีกฎหมายที่ว่า ห้ามให้ชาวต่างชาติพักตามเกสเฮ้าค่ะ ต่างชาติต้องพักแค่โรงแรมที่มีมาตรฐานเท่านั้นซึ่งราคามันค่อนข้างแพงมากๆค่ะ อารมเกรด 4ดาวบ้านเรา เพราะหากเทศกิจมาตรวจเมืองตรวจโรงแรม หากเจ้าของทำผิดกฎหมาย ทางรัฐบาลจีนจะต้องสั่งปิดโรงแรมตลอดถาวรค่ะ ตอนนั้นพวกเจเดินประมาณ 3ชั่วโมงได้ค่ะ เมื่อยก็แล้ว ตะคริวกินขาก็แล้ว ก็ยังหาที่พักไม่ได้เลย เดินระหว่างทางเจอแต่แท็กซีทั้งเถื่อนและไม่เถื่อนแย่งกันโบกเรียกพวกเรา พวกเราทำได้แค่ทนเดินต่อไปค่ะ เดินไปเจอแต่ป้ายอะไรก็ไม่รู้ อ่านไม่ออก ภาษาจีนพวกเราก็ไม่แข็งแรง อ่อนด๋อยเลย อ่านกับเขียนนี่คือสอบตก ในใจลึกๆอยากจะนั่งรถ แต่จะนั่งรถไปทำไมล่ะ? นั่งแล้วจะพาพวกเราไปออกที่ไหนอีกล่ะ มีแค่แผนที่กระดาษโง่ๆ 1 แผ่น T^T อินเตอร์เน็ตมือถือก็ไม่ได้มีเยอะขนาดนั้น ต้องเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นอีก เงินเราก็ไม่ได้มีเยอะแยะอะไรมากมายเลยด้วย ตอนนั้นคิดในใจนะพวกเราจะต้องนอนข้างทางมั้ยเนี่ย??  ( อันนั้นก็เวอร์ป๊ายยยยยยยยยยยย ) เดินตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงบ่ายสี่โมงเย็นเลยค่ะ จนกระทั่งเราไปเจอเกสเฮ้าที่ๆนึง เป็นเกสเฮ้าที่ไม่ได้หรูหรามากนะคะ มีแค่ 4-5ห้องได้มั้ง มีห้องน้ำในตัว แต่มันก็อยู่ในระดับที่นอนได้ค่ะ ตอนไปที่เคาน์เตอร์เช็คอิน พวกเราก็ง้ออาอี๋กับตาลุงเค้าว่า ขอพักหน่อยน้า…. เจพาเพื่อนอีก2คนมาเที่ยว มานอนแค่คืนสองคืนเอง พวกเราเป็นนักเรียนต่างชาติ พวกเราเที่ยวแต่พวกเรากันเองแหละ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนพาคนนอกคนไหนเข้ามา พวกเราไม่เสียงดัง ไม่เที่ยวกลางคืน ขอร้องหน่อย น้า น้า น้า….  ( ตอนนั้นคิดในใจ ถ้าไม่ได้ที่นี่ พวกเราก็ต้องทนหาลากยาวจนถึงเย็นเลยทีเดียว ฟ้าก็จะมืดแล้วด้วย ฮือออออ ) พระเจ้า ช่วยลูกช้างด้วย .. >^<


            อาอี๋เค้าก็อธิบายมานะคะว่า คือตัวพวกเค้าเองก็กลัวโรงแรมจะถูกปิดตัวหากทำผิดกฎเพราะบางทีมีเจ้าหน้าที่เค้ามาสุ่มตรวจหาโรงแรมเถื่อน หากที่ไหนแอบรับต่างชาติมาพัก โรงแรมจะต้องถูกปิดตัวทันที ผ่านไปสองสามนาทีจนกระทั่งอาอี๋กับตาลุงสามีแกเค้าก็ยอมให้พวกเราไปพักค่ะ เราก็ให้คำสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีตลอดการเข้าพักเพื่อที่จะไม่สร้างปัญหามาให้พวกเราค่ะ ( รอดตายแล้วววววว  >< )



จบไปแล้วนะคะกับพาร์ทแรกของทริปนี้ ขออภัยที่ไม่ค่อยมีรูปภาพเหลือมาเท่าไหร่ แต่โดยมากอยากให้ดื่มด่ำกับสิ่งที่พวกเจเจอมามากกว่าค่ะ เจอกันใหม่ในพาร์ทต่อไปนะค้า



JJDiary