Ads

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ diary แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ diary แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]เมื่อสมัยเรียนปีสุดท้าย ลากกระเป๋าเล็ก+เป้คนละใบหนีเที่ยวปักกิ่งแบบชะโงกงบคนจนจะเป็นยังไง พาร์ท 1/3 (Beijing 北京)

สวัสดีค่ะ ไดอารี่บล็อกนี้จะมาเล่าบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวที่เจเจและเพื่อนๆไปเที่ยวปักกิ่งทริปสั้นๆค่ะ ( รูปก็ไม่ค่อยมีอีกแล้ว )

….เนื่องจากว่าในตอนนั้นเป็นภาคการศึกษาเทอมสุดท้ายที่พวกเราเรียนที่จีน และตอนนั้นพวกเราวางแผนระยะการเดินทางทุกอย่างผิดพลาดหมด จากที่จะได้ไปเที่ยวที่ปักกิ่งเป็นระยะเวลา 4-5 วันหรือมากกว่านั้น จนกลายเป็นว่า เหลือเวลาแค่ 3 วัน 2 คืนค่ะ รวมถึงฤดูกาลของประเทศจีนนั้นเปลี่ยนไป จากเดือนพฤศจิกายนไปเดือนธันวาคมซึ่งเข้าหน้าหนาวเต็มตัว ในหน้าหนาวบางครั้งสถานที่เที่ยวจะปิดไว ไม่ก็ค่าผ่านประตูอาจมีราคาสูงขึ้น แล้วแต่ค่ะ


                นี่คือเหล่าเพื่อนๆที่ไปด้วยกันค่ะ




ทริปของพวกเราคือ เริ่มจากการวางงบประมาณค่ะ ว่าเราไหวกันอยู่ที่เท่าไหร่ งบของตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ค่าโดยสาร ส่วนค่าผ่านประตูนี่ไม่ได้มีเยอะอะไรมากค่ะเนื่องจากตอนนั้นพวกเราไม่มีเวลาจริงๆ ดังนั้นจึงทำได้แค่ไปแบบชะโงก แค่ไหนแค่นั้น ไม่ได้ไปเต็มที่แน่นอน ( งบน้อยค่ะ จน T^T ) แต่ตอนนั้นก็ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่าต้องยอมรับกันและกันว่าไปเที่ยวแบบแกลบๆ อยู่แบบไม่สบายๆก็ต้งอยู่ได้ ….. หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาเส้นทางรถไฟใต้ดิน ถามเพื่อนๆที่เคยไปเที่ยวที่นั่นมาก่อนด้วย และเจก็ได้ติดต่ออาจารย์จีนท่านนึงที่อยู่ที่ปักกิ่งด้วยค่ะเพื่อรายละเอียดเพิ่มเติม แถมจารย์แกทิ้งท้าย 北京欢迎你 555555 ^^ ( ข้อมูลอ้ะมี แต่เวลาเที่ยวอ้ะ ไม่มี T^T )….


เริ่มจะจองตั๋วเครื่องบิน ตอนนั้นราคาอยู่ที่ประมาณ 375หยวนได้ ตีว่าราวๆ 1,800-1,900บาทแหละ ทีแรกพวกเราก็คิดว่าราคาตั๋วน่าจะลงอีก รออีกหน่อย ….แต่แล้วราคามันไม่ลงแล้วอ้ะ แถมเหลือที่นั่งน้อยมากๆด้วย จำใจต้องจองแระ ตอนนั้นใช้แอพ 飞猪 เป็นรูปน้องหมูสีเหลือง เห็นมันราคาถูกดี( ตั๋วราคาถูกก็ต้องตามมาด้วยไฟล์ทบินหัวรุ่งที่พวกเราจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไฟล์ทบินถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นตอนตี 3 แหละ ) แถมรถไฟใต้ดินที่จีนก็ไม่ได้เปิด 24 ชม. ด้วย ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็ปิดให้บริการแล้ว พวกเราเลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินในรอบเลทที่สุดและไปนอนรอเอ้งเม้งในสนามบินยาวๆ ( โครตไม่มีอะไรทำอ้ะบอกเลย) เล่นไพ่รอ จนกระทั่งเค้าเรียกให้เช็คอินและขึ้นเครื่องค่ะ ขึ้นเครื่องปุ๊บก็หลับทันที เก็บแรงค่ะ ( ถือว่านอนในเครื่องไปเลยเพราะเมื่อถึงปักกิ่งต้องเที่ยวต่อ )


7 โมงเช้าถึงปักกิ่ง งัวเงียสุดๆ ร่อแร่ พี่โตโย่พานั่งรถ airport bus เข้าเมือง ( เป็นวิธีที่ถูกสุดแล้ว รู้สึกคนละ 20หยวนมั้ง ตกคนละร้อยบาทไทย เจ๊แกประสบการณ์เดินทางประหยัดเยอะจริงไรจริง ) เมื่อถึงสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเราทั้ง 4 นี่ ขั้น Oh My God ! ทันที คือบอกตรงๆเลยว่า สถานีมัน ใหญ่มากๆ และ คนเยอะโครตๆ ..!!!! ตาลาย หลงทางหลงแผนผัง adventure สุดๆ ! ป้ายเก่าค่อนข้างเยอะ และที่แน่ๆ ไม่ค่อยมี Eng sub !!!!!! แต่ ก็จะยืนรออะไรไม่ได้ค่ะ ก็ต้องรีบทำบัตรรถไฟ ( ค่าทำบัตร 20หยวน ใส่ตังไปเท่าไหร่ก็ได้ ตอนคืนบัตรจะได้เงินที่เหลือกับค่ามัดจำคืนมาด้วยตอนคืนบัตรต้องสังเกตให้ดีเพราะไม่ใช่ว่าทุกสถานีรถไฟจะรับคืน ) แล้วก็ไปเช็คอินที่โรงแรมค่ะ ระหว่างทางไปที่พัก พวกเราก็ถกเถียงกันเพราะนั่งรถไฟลงผิดป้าย ( โอยยย ..ทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลย แถมดันเดินไปเยอะแล้วสะด้วยสิ…. ) ก็ต้องรีบจ้ำๆเดินวกไปวนมา กว่าจะเจอสถานีที่ถูกต้องก็เสียเวลาไปประมาณชั่วโมงกว่าได้ ( ไม่น่าเสียเวลาโง่เล้ยยย ) แล้วแถมลงจากสถานีรถไฟแล้ว ระยะทางจากสถานีไปที่พักก็ต้องเดินประมาณ 15นาที เดินลุยทั้งๆอากาศเย็นๆ พื้นถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อยาวๆไปแจ่ะ -…- ( พอดีที่พักอยู่โซนบ้านนอกๆหน่อย ไกลจากใจกลางเมืองมากๆ ทริปนี้ไม่เหมาะกับการใส่รองเท้าส้นสูงจริงๆนะบอกเลย ) เปิด Baidu แผนที่จีนเดินตามจนถึงที่พักในที่สุด



เมื่อถึงที่พักแล้วนะคะ พวกเราก็ได้ทำการเช็คอิน เอาจริงๆครั้งแรกที่พวกเราเห็นที่พักก็แอบสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วค่ะ ว่ามันจะเวิร์ครึเปล่า ( คือไม่ได้จะเรื่องมากหรือมองในแง่ร้ายอะไรนะคะ เพียงแค่คำนึงถึงว่าความปลอดภัยและพวกความสะอาดน่ะค่ะ ) เมื่อเข้าไปถึงห้องพัก เห็นแล้วก็รู้สึกใจส่อไปข้างเลยน่ะค่ะ คือพวกเราจ่ายเงินค่าห้องไปคืนละ 500หยวน ตีเป็นเงินไทยเลขกลมๆก็ประมาณ 2,500บาท ไม่มีอาหารเช้า ( ไม่ได้ซีเรียสเรื่องอาหารการกินค่ะ หากินข้างนอกได้ ) มีวายฟาย ( ที่ไม่ค่อยติด ) รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปสักเท่าไหร่น่ะค่ะถ้าเทียบกับราคาเกสเฮ้าเกรดถูกๆที่ไทย สิ่งที่พวกเราทั้ง 4 คนเห็นตอนนั้นก็คือ สภาพห้องค่อนข้างสกปรก ฝุ่นตามขอบห้องมุมห้องยังมีค่ะ หนามาก ตามลิ้นชักเสื้อผ้าก็มีฝุ่น พื้นห้องไม่สะอาดเลย แอร์ก็ไม่รู้ว่าสะอาดมั้ย เพดานห้องนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ซึ่งตอนนั้นเจกับชมพู่ก็ค่อนข้างกังวลแล้วเพราะพวกเราแพ้ฝุ่นด้วยน่ะค่ะ แต่ก็ต้องทนอยู่….. ห้องขนาดเล็กๆแคบๆอยู่ได้ค่ะ แต่ความสะอาดคือให้คะแนนติดลบ - - ( ขอไม่เอ่ยสถานที่นะคะ ) จะย้ายโรงแรมก็ไม่ได้ค่ะ ช่วงนั้นฤดูท่องเที่ยวใกล้ปีใหม่ ที่พักที่ไหนๆก็แพงแล้วด้วย ยอมก็ยอม T^T


หลังจากที่พวกเราวางสัมภาระไว้ในห้องพักแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ.. ตามหาของกินค่ะ เพราะไม่มีอะไรลงถึงกะเพาะของพวกเราเลยตั้งแต่ลงปักกิ่งมา แถวนั้นค่อนข้างเงียบสงัด ไม่มีตึกมากกว่า3ชั้น ส่วนมากจะเป็นตึกชั้นเดียวเรียงกันตามข้างถนน ร้านอาหารก็น้อยเอามากๆๆๆ และมาก มินิมาร์ทก็แอบไกลจากที่พักด้วย TT^TT …. ตอนนั้นคือ ไม่คิดอะไรแระ หาอะไรที่พอกินได้ก็พอ บะหมี่คนละชามก็ยังดี ตอนนั้นใช้เวลาเดินสำรวจหลายสิบกว่านาทีอยู่จนกระทั่งไปเจอร้านนึง โชคดีที่มีร้านนึงมันเปิดอยู่ ขอกินหมี่คนละชามเติมพลังก่อนเถอะ …..

หลังจากที่หาของกินเสร็จ ตอนนั้นรู้สึกจะเริ่มบ่ายสองบ่ายสามแล้วมั้ง คือเลทแล้วอ้ะ ก็เลยรีบเดินจ้ำไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อจากไปเที่ยวที่แรก Tiananmen 天安门 กับพระราชวังต้องห้าม 故宫 ค่ะ




                ( เดินทางด้วยการนั่ง 天安门东 Tian an men dong สาย1 ทางออก C แล้วจะเห็นคนต่อคิวเยอะมากๆพร้อมทั้งต้องสแกนสัมภาระด้วย
จากนั้นข้ามถนน( เดินตามคนจีนก็ได้คนมันเยอะมาก) แล้วจะเจอรูปท่านเหมาเจ๋อตง

                สายรถไฟค่อนข้างเก่า จะไม่มีเขียนบอกทุกเส้นทาง ที่สถานีรถไฟมันจะบอกแค่บางเส้นทางเท่านั้นฉะนั้นต้องพึ่งพาแอพแผนที่ในมือถือนิดนึง )


บอกตรงๆเลยว่า คนเยอะมากกกก ก ไก่ล้านตัว คือด้วยความที่มันอารมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกรุงเทพอ้ะ ศูนย์กลางใจกลางเมืองแหล่งต่อรถทุกสิ่ง แล้วไปถึงตอนนั้นก็ล่อไปบ่ายสี่โมงได้แล้วมั้ง คนเค้าเลิกงาน คนติดเป็นพิเศษ ขั้นที่ว่าต้องต่อคิวเดินกันอ้ะ แล้วที่ช็อคไปกว่านั้นคือ ปักกิ่งอากาศนี่เสียมาก เหมือน PM 2.5 ฝุ่นควันนี่คลุ้งไปหมดถ่ายรูปอะไรไม่ได้ ต้องใส่แมสไปน่ะค่ะ อากาศแย่จริงๆ

                เมื่อเดินเข้าไปพื้นที่นั้นได้แล้ว ก็เจอกับลานกว้างทางเข้าไปพระราชวังต้องห้าม คนก็แน่นไม่แพ้ข้างนอกเลยค่ะ  แต่ด้วยความที่พวกเราไม่มีเวลาแล้วบวกกับไม่มีเงิน ( ค่าผ่านประตูเยอะมากๆ เสียแล้วเสียอีกเมื่อเดินเข้าไปลึกๆ ) พวกเราก็แค่ ยืนดูข้างนอก จบ ออกมากค่ะ ( ชะโงกไหมล่ะ ? )




ออกมาเดินข้างนอกเห็นแม่น้ำลำธารที่แข็งโป๊กจนกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว



ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ( ฤดูหนาวมืดเร็วค่ะ ) ตอนนั้นก็คิดว่าเราก็ได้แต่ไปที่เที่ยวที่เป็นย่านตอนกลางคืน ถนนคนเดินอะไรทำนองนั้นค่ะ อันดับแรก นึกขึ้นได้พอดี มีที่ที่นึงที่เราสามารถไปได้นั่นก็คือ สนามกีฬารังนกโอลิมปิก นั่นเอง


 

( สนามกีฬารังนกโอลิมปิก Bird nest Olympic sport center

                นั่งไปที่สถานี 噢体中心 สาย 8 ทางออก B1
                รถไฟใต้ดินนี้เป็นรถไฟใต้ดินค่อนข้างใหม่อารมแบบที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะบอกทางรถไฟละเอียดเลย   ไม่ต้องพึ่งแอพแผนที่เลย  )


ข้างๆสนามกีฬามีสระว่ายน้ำด้วย



อากาศตอนนั้นหนาวมาก ปกติเจเป็นคนชอบที่เย็นๆนะ แต่เนื่องจากช่วงนั้นร่างกายไม่ค่อยสบายเท่าไหร่อ้ะ ก็เลยหนาว โชคดีที่คนไม่เยอะ แทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ก็เลยได้แวะถ่ายรูปแปปเดียวแล้วไปต่อ ( มาเพื่อชะโงก )….

ต่อมาก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปหาของกินจริงๆจังๆแล้ว ก็ไปที่ย่านหวางฟู่จิ่ง 王府井



( Wangfujing  王府井

                นั่งไปที่สถานี 王府井 สาย 1

                เป็นย่านถนนคนเดิน มีทั้งห้างไฮโซรวมทั้งถนนคนเดินสไตล์งานวัดด้วย ( ถนนคนเดินต้องเดินผ่านลานห้างเยอะๆไปสักพักแล้วจะเจอซุ้มประตูเหมือนศาลเจ้า ตรงนั้นจะขายของกิน ของที่ระลึกเยอะแยะ มีเกมเซนเตอร์ด้วย
)


ทีแรกกะจะไปหาของกินจริงๆจังๆนะ แต่พอไปๆมาๆ แอบรำคาญคนเยอะ จะเดินไปด้วยกินไปด้วยตอนนั้นก็คิดว่ามันเป็นอุปสรรค อากาศหนาวกว่าจะถือของควักตังจากกระเป๋าตังพวกเราเองก็แอบมีความรำคาญอ้ะ และที่แน่ๆคือ หลายอย่างก็ แอบ แพง TT^TT … แทบร้องร่ำไห้แล้ว ( สงสัยมันราคาตามย่านที่เที่ยวแหละ ) ก็เลยกินแบบนิดๆหน่อยๆพอ พวกผลไม้เสียบไม้อะไรทำนองนี้อ้ะ แล้วพวกเราก็ไปเสียเวลากับเกมเซ็นเตอร์ด้านในลึกๆ เล่นกันจนจะลืมเวล่ำเวลาแล้วละมั้ง 5555 เดินเพื่อให้รู้ว่าได้มาแล้วแหละชะโงกๆ แล้วก็ต้องรีบกลับไปที่พักก่อนสี่ทุ่ม ( กลัวรถหมดค่ะ ) คิดดูนะคะ ขนาดขึ้นรถไฟตอนสามทุ่มกว่าคนยังแน่นเหมือนตอนกลางวันเลย ก่อนกลับที่พักก็แวะหาของกินค่ะ สรุป มากินร้นใกล้ที่พักมันดีกว่าแหละ คนไม่เยอะ ดีที่มีร้านหม่าล่าเปิดตอนค่ำ ในร้านเปิดฮีตเตอร์อุ่นๆด้วย ก็เข้าไปกินให้อิ่มไปข้างก่อนเข้าไปพักผ่อน ….. ก่อนนอน พี่โตโย่บอกว่าจะช่วยปลุกพวกเราให้ ประมาณ ตี 5 หรือ 6โมงเช้าแหละ เพราะเรามีแพลนจะไปกำแพงเมืองจีนต่อ ( มันไกลมาก เดินทางนาน ต้องไปทั้งวันค่ะ ) ….


พาร์ทหน้าจะมาต่อเรื่องการเที่ยวชะโงกในครั้งนี้นะคะ กำลังทยอยรื้อฟื้นความทรงจำค่า

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2563

Thames town泰晤士小镇 สถานที่คนไทยมักจะไม่ค่อยรู้จักในมหานครเซี่ยงไฮ้

                มหานครเซี่ยงไฮ้ เมืองใหญ่ที่เป็นแหล่งรวมเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความเจริญ  เป็นที่นิยมของคนไทยที่เมื่อได้โอกาสมาเที่ยวที่ประเทศจีน ก็มักจะแวะมาเที่ยวที่เมืองนี้ นอกจากหอไข่มุก 东方明珠 ถนนหนานจิง 南京路 ยวี่หยวนตึกทรงจีน 豫园 หรือย่านสไตล์ยุโรปอย่างซินเทียนตี้ 新天地 คราวนี้ เจเจกับเพื่อนๆก็ได้ลองนั่งรถไฟใต้ดินเปลี่ยนบรรยากาศ ลองนั่งมาสายที่ไกลๆเมือง มาลองเข้าโซนชานเมืองบ้านนอกคอกนาบ้าง แต่ว่าสิ่งที่พวกเราเจอคือ ที่แห่งนี้เลย

‘‘Thames Town’’ 泰晤士小镇 ตามชื่อเลย บรรยากาศเหมือนกับเป็นเมืองเล็กๆ ตกแต่งสไตล์ยุโรปออกไปทางแนวอังกฤษโบราณค่ะ อารมเหมือนหมู่บ้านฝรั่งเศสค่ะ ( แต่ที่นี่ไกลกว่า ) บรรยากาศที่นี่ก็จะมีแม่น้ำล้อมรอบ มีสวนตามจุด ตึกอิฐค่ะ พูดง่ายๆ เหมือนอยู่ในย่านฝรั่งสุดๆ ( แนะนำให้มาทั้งวันนะคะ เพราะว่ามันไกลมากๆ ก่อนมาก็เตรียมดูฝนฟ้าอากาศมาก่อนด้วยนะคะ )








วิธีการเดินทางไปที่นั่นนะคะ คือ ต้องนั่งรถไฟใต้ดินสาย 9 ไปลงที่ 松江新城 ( Song Jiag Xin Cheng )จากนั้นนะคะ ออกประตูทางออกที่ 2 เพื่อที่จะข้ามถนนไปขึ้นรถเมล์ค่ะ เดินตามทางฟุตบาตรจนเจอป้ายรถเมล์ ให้ขึ้นรถเมล์สาย 16 ค่ะ นั่งไปประมาณ 5 ป้ายได้ แล้วลงที่ 思贤路玉华路 ( Sixian Lu Yuhua Lu ) ลงจากรถแล้วเดินต่อมาเรื่อยๆค่ะ ถ้าเจอป้ายทางเข้าว่า Thames Town นั้นก็แปลว่า มาถูกที่แล้ว




อันนี้ที่อึ้งๆจริงๆคือ นึกว่าที่จีนจะไม่มีตั๋วฉีกกระดาษแบบบ้านเราแล้ว ด้วยความที่โซนนี้มันชานเมืองมากๆ ชานเมืองสุดๆ วิธีจ่ายเงินก็คล้ายแบบกระเป๋ารถเมล์บ้านเราค่ะ แต่ไฮเทคกว่า รับบัตรได้ แต่สิ่งที่ได้ก็ เจ้าตั๋วนี่ ( ถ่ายเก็บ ไม่ใช่ไร รู้สึกแปลกดี ไม่เคยเห็น )




บรรยากาศให้ความเป็นกลิ่นอายแดนฝรั่งๆสุดๆ ชอบมากๆ สถานที่สวยงามแบบนี้ ไม่ควรพลาดค่ะ
























บรรยากาศสถานที่ค่ะ รูปสวยๆเหล่านี้ ฝีมือพี่โตโย่ทั้งนั้นค่ะ พี่เค้าถ่ายสวยมาก 

Cr. Chen Mingmin




มุมถ่ายรูปที่นี่มีเยอะมาก คนส่วนมากที่มาที่นี่ 90% คือมาเพื่อถ่ายพรีเวดดิ้งกันนั่นเอง ยิ่งวันไหนที่ฟ้าฝนเป็นใจนะ รูปจะออกมาสวยงามตามท้องเรื่อง















มุมโบสถ์นี้ เป็นอีกจุดนึงที่คนเค้านิยมมาถ่ายกันมาก ถึงขั้นต้องต่อคิวรอถ่ายกันเลยทีเดียวค่ะ ( ตอนนั้นได้แรงบันดาลใจจาก Your Name Komi no Nawa ก็เลย อยากจะเอาบ้าง 555 )





เอ๊ะ ..?? ที่นั่นที่ไหน ใช่ที่รักรึเปล่า ??


บล็อกนี้ก็ขออำลาไว้แด่เพียงเท่านี้นะคะ ใครที่มีโอกาสไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ ก็อย่าลืมไปแวะสถานที่สวยงามที่นี้ด้วยนะคะ จะได้รูปถ่ายเด็ดๆกลับมาเพียบแบบไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นนักศึกษาเรียนที่จีนปี 1 หนีเที่ยว หนีร้อนไปหาหนาว ลี่เจียงทริป พาร์ท 3/3 Blue Moon Valley + จุดชมวิวเมืองเก่าลี่เจียง (蓝月谷 + Lijiang Old Town Viewpoint)

                ไดอารี่พาร์ทสุดท้ายของทริปลี่เจียงนะคะจะเป็นครึ่งวันหลังจากไปเที่ยวภูเขาหิมะ และวันสุดท้ายที่พวกเราอยู่ที่เมืองลี่เจียงค่ะ

            หลังจากที่พวกเรานั่งกระเช้าไฟฟ้าลงมาจากภูเขาหิมะนะคะ คนขับรถได้พาพวกเราไปถ่ายรูปเล่นชมธรรมชาติที่

             Blue Moon Valley蓝月谷 ( ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อภาษาไทยค่ะ ) คนไทยจะเรียกปากต่อปากกันว่า ทะเลสาบมรกต อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ แต่ดูเผินๆนี่สีน้ำทะเลสาบมันก็เหมือนสีเขียวมรกตจริงๆแหละ ซึ่งมันสวยมาก รอบด้านอากาศเย็นสบาย บรรยากาศกำลังดีค่ะ เพื่อนๆที่ก่อนหน้านี้หน้ามืดตามัวกันที่ภูเขาหิมะด้านบนนั้น ก็กลับมาตื่น ตาสว่างกันเลยทีเดียว ( อารมว่า มีอากาศให้หายใจแล้ว 5555 )





















































                กลับที่พักไปก็หมดแรงข้าวต้มกันไปข้าง พักผ่อนกันเยอะมาก หลับยาวกันไปเลยคนๆ หลับเป็นตายสุดๆ กลับจากที่หนาว เปิดฮีตเตอร์ ซุกผ้าห่มอุ่นๆ แล้วก็ ...ZzzZZzz....

 

                วันสุดท้ายที่อยู่ลี่เจียงแล้ว ก่อนกลับไปเมืองคุณหมิง เจ ไอซ์ และเหวิน ก็ไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่ากัน แต่รอบนี้เดินไปที่จุดชมวิวค่ะ เนื่องจากตอนนั้น นก ป๊อป แก้วและไนท์ไปมาแล้ว แต่ตอนนั้นพวกเรา 3 คน ดันหาทางขึ้นไม่เจอสะงั้น ^^




                    ขึ้นไปที่จุดชมวิว ทีแรกดูเหมือนนึกว่าชิวๆไม่มีไรมากนะ เอาจริงๆในความรู้สึกไม่ค่อยต่างจากที่เดินขึ้นคานที่ซีซาน 5555




















เพิ่งรู้ว่าขึนจุดชมวิวก็ต้องมีค่าผ่านประตู  เสียเงินแล้วทั้งที อยู่ให้นานๆหน่อยละกันนะ















                ก่อนบอกลาเมืองเก่าลี่เจียง อะไรที่อยากกินที่ยังไม่ได้กินก็เดินตามๆกินกันไปให้หมด โดยเฉพาะหม่าล่าซาวข่าวเสียบไม้ที่เป็นเนื้อจามรีนี่ อร่อยมาก หอมปากหอมคอ พวกเจกินกันยันวินาทีสุดท้ายก่อนกลับ ( อารมเหมือนกินเนื้อวัวเลยค่ะ คนที่นั่นปรุงเก่งมาก ไม่มีกลิ่นสาบเลย ^^ และที่สำคัญคือ ถูกมาก ไม้ละ 5 หยวน )




                มาเห็นแม่ค้าคนนึงเข็นรถเข็นขายขนมอะไรก็ไม่รู้ ทีแรกพวกเราก็นึกว่าเค้กพื้นเมืองมั้ง ก็เห็นมันดูมีชั้นๆ มีไส้ครีม แล้วตอนนั้นึกว่าหน้าขนมนี้เป็นคาราเมล ( มโนเองล้วนๆเนี่ย 55555 ^^ ) ก็เลยลองซื้อมากินดู.... แต่ว่าเท่าที่กินตอนนั้นรู้สึกว่ามันจืดอ่า ไม่ได้ชอบอ้ะ  TT^TT ( ความรู้สึกเหมือนแบบว่า มันไม่ใช่อ้ะ แกรรรร ..!!!!  ) แต่พวกเราก็ไม่ทิ้งนะคะ หลอกเอาไปให้เพื่อนๆที่เหลือช่วยกันกินคนละคำจนหมดก็พอ 555 แค่นี้ก็ไม่ต้องทิ้งแล้ว





                พวกของฟงของฝากก็ถ้าใครจะหิ้วกลับไปให้ใครก็ซื้อกันไปให้พร้อม เหมือนพวกขนมไส้กุหลาบอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ จำได้ว่าไอซ์ชอบมาก ซื้อกลับไปหลายห่อจนแม่ค้ายิ้มเลย




                ส่วนกลุ่มของนกมาเล่าให้เจเจฟังว่า ก่อนกลับพวกเค้าก็ไปลองอาหารแปลกๆ แบบนมจามรี ( รึเปล่าไม่แน่ใจ ?? ) สั่งถ้วยเดียว แต่กินด้วยกัน 4 คน เพราะพวกเค้าไม่กล้าสั่งคนละถ้วยเพราะกลัวกินไม่หมดแล้วเสียดาย ><

             แต่เพื่อนๆเค้าบอกไม่ชอบอ้ะ มันคาวสำหรับพวกเค้าแล้วมันก็ไม่ได้เป็นนมเข้มข้น เหมือนน้ำเปล่า ทำนองนั้น ( อาจจะอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันละมั้งนะ )




                จากนั้นก็นั่งรถกลับไปที่สถานีรถไฟและนั่งรถไฟนอนกลับคุณหมิงตามเดิมค่ะ และเนื่องจากว่านั่งรถไฟตอนกลางคืนมาถึงคุนหมิงตอนเช้า พวกเรางัวเงียมาก อารมว่าเพลง 'ยังไม่ได้นอน' นี่ลอยมาในหัว 555 กลับถึงหอก็พักผ่อนเต็มที่เลยค่ะ

และแล้ว ทริปลี่เจียงก็จบลงเพียงเท่านี้ค่า