Ads

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นนักศึกษาเรียนที่จีนปี 1 หนีเที่ยว หนีร้อนไปหาหนาว ลี่เจียงทริป พาร์ท 2/3 ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain玉龙雪山)

            JJDiary มาถึงลี่เจียงก็ไม่ได้มาแค่เมืองเก่านะคะ  ณ ตอนนั้น สิ่งที่พวกเราคิดว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือ การได้มาที่ ‘‘ภูเขาหิมะ’’ นั่นเอง  ซึ่งการติดต่อกับคนขับรถที่พาพวกเราไปรับส่งก็มาจากความช่วยเหลือที่ดีจากพี่ๆคนไทยที่คุณหมิงอีกเช่นเคยนะคะ  เนื่องในโอกาสครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเพื่อนเจเจหลายคนเลยค่ะที่ได้มาเห็นหิมะของจริงในครั้งแรก บอกเลยว่า ตื่นเต้นกันแน่นอน


                จากที่พักนั่งรถไปทางขึ้นภูเขาหิมะไม่ได้นานมากค่ะ รู้สึกจะประมาณ 15 นาที


                ก่อนขึ้นไปภูเขาหิมะ พวกเราได้ทำการซื้อตั๋วด้านล่าง และพวกเราได้ดูการแสดงคนพื้นเมืองด้วยค่ะ  ในการแสดงมีพวกบทบาทสมมติสมัยโบราณแบบเรื่องสั้น ร้องเพลง เต้นรำ ร่ายกลอน วิถีชนเผ่าและอื่นๆค่ะ











                ระหว่างดูการแสดงนั้นเราก็ได้เจอหญิงสาวคนจีนคนนึงค่ะ เค้าเห็นพวกเรามาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม และพวกเราพูดภาษาไทยกัน เค้าเลยรู้ว่าพวกเราเป็นคนต่างชาติค่ะ ผู้หญิงคนนี้เค้ามาลุยเที่ยวคนเดียวค่ะ เนื่องจากเพื่อนของเค้ากลัวที่หนาวมาก เลยอยู่แต่ที่พัก ทำให้เค้าต้องออกมาเที่ยวเหงาๆคนเดียว พอเค้าเจอพวกเราเค้าเลยขอไปด้วยกันค่ะ

 

                หลังจากที่ดูการแสดงเสร็จแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปรับเสื้อกันหนาวค่ะ เสื้อกันหนาวของเค้าอุ่นจริงอะไรจริง แต่ส่วนตัวเจไม่ชอบอ้ะ ( เป็นคนขี้ร้อน ไม่กลัวที่เย็น 555 ) และจะมีกระป๋องออกซิเจนแจกด้วยค่ะ




                บรรยากาศนั่งกระเช้าขึ้นไปข้างบนค่ะ อยากจะบอกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว และที่แน่ๆ แก้วกลัวความสูงมว้ากกกกกก ><

                กรี๊ดจนแทบจะยืนไม่ขึ้นเลย ส่วนเราพวกเราที่เหลือนี่ กำลังเห่อกับบรรยากาศที่แสนจะสูงชันนี่ 555








                นั่งขึ้นไปนานอยู่ค่ะ พอออกจากกระเช้าแล้ว สิ่งที่พวกเราออกมาเจอ ดินแดนที่มีแต่ความขาวโพลน ‘‘หิมะ’’ นั่นเอง



อยากจะบอกว่าแสงแดดจ้าแรงมาก เงยหน้าไม่ได้เลย น่าจะเอาแว่นกันแดดมาด้วยเนี่ยะ




ไหนๆก็มาแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย









                หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกระจายกันเดินค่ะ  นกกับป๊อปจะเดินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เนื่องจากเพื่อนเค้าหายใจไม่ออก เจเลยบริจาคกระป๋องออกซิเจนให้เพื่อนค่ะ เนื่องจากเจไม่ได้ใช้

            ( หากใครมีอาการหอบ หายใจไม่ออกในที่เย็นๆ ให้ทำตัวให้อบอุ่นแล้วก็สูดออกซิเจนเป็นระวังหน้ามืดนะคะ )





                มีให้เดินขึ้นไปด้านบนด้วย เหมือนจะง่ายนะ แต่ก็ไม่ง่ายอ้ะ แอบหน้ามืดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะไอซ์นี่ หอบไปอีกคนเลยเหมือนกัน ส่วนเหวินเพื่อนอีกคนนี้ วิ่งไปไกลแล้ว ซนยังกะเด็กเลย 



เดินไปสักพักนึงก็….




                เอาจริงๆเหมือนเจว่าเจตื่นเต้นอยู่คนเดียวอ้ะ ส่วนเหวินนี่ ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ….แต่ สีหน้าไม่เคยแสดงออก 5555







ข้างบนนี่ลมดีอากาศดีเวอร์ สดชื่นเหมือนได้เกิดใหม่เลย

 

จากนั้นก็ เรื่อยเปื่อยค่ะ











































                เริ่มไม่มีไรทำ ไอซ์กับเหวิน หาหิมะมาปั้นเล่นๆ ตอนแรกเหวินพูดลอยๆออกมาว่า ‘‘อยากลองกินหิมะ อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง?’’ ไอเราก็ต้องรีบห้ามเพื่อนก่อนเลย เพราะ หิมะมันสกปรกม้ากกกก คนเค้ามาเที่ยวที่นี่ปีนึงตั้งกี่พันล้านคน หิมะนี่เละจนไม่ใช่สีขาวไปแล้ว……  ( ด้วยความที่เหวินเพิ่งเห็นหิมะครั้งแรก มีความตื่นเต้นนิสนึง )  //  พูดง่ายๆ หิมะมันก็เหมือนน้ำแข็งใสน่ะแหละ




                ปล. เดินบนหิมะ ก็ระวังๆกันด้วยเน้อออออ เพื่อนเจลื่นไปละ ( อารมแบบเดินบนน้ำแข็งแหละ )




                เดินไปสักพัก อย่างที่บอกค่ะ เจเป็นคนขี้ร้อน ร้อนมากกกก ร้อนก็บ่น แต่ชาวบ้านคนอื่นเค้าหนาวกัน ไอสื้อกันหนาวที่เค้าแจกมานี่ เดี๋ยวใส่เดี๋ยวถอด




                เล่นเป็นเด็ก ซนยังกะลิง ตอนนั้นเค้าฮิต Let it go กัน ( หนัง Frozen เพิ่งเข้า ) โดยเฉพาะ ฉากที่เอลซ่าวิ่งบนบันไดน้ำแข็ง




                มาที่นี่มีสิ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดอีกอย่างคือ การเล่นสโนวบัสเตอร์ค่ะ Snow buster เป็นไอที่ว่า นั่งบนห่วงยางแล้วลื่นไถลมาตามหิมะน่ะค่ะ ตอนเล่นก็ต้องทนตูดเปียกนิดนึงนร้า ตอนนั้นเจ เหวิน และไอซ์ไปรอบนึงด้วย สนุกมาก แต่แอบต่อคิวยาวนิดๆ ( คนเยอะค่ะ )








                พวกเรามีเวลาอยู่ที่ภูเขาหิมะแค่ถึงเที่ยงค่ะ จากนั้นต้องลงมาแล้ว แล้วไปเที่ยวต่อค่ะ

            บล็อกนี้ขอจบกันบรรยากาศที่ดินแดนหิมะเพียงเท่านี้น่ะค่ะ ขออภัยที่รูปภาพมีเหลือไม่เยอะ เป็นไดอารี่ที่แสนจะนานมาแล้ว พอได้กลับมาเปิดเจอรูปสมัยก่อนที่เฮฮามาเที่ยวกับเพื่อนๆแบบนี้ ก็รู้สึกคิดถึงเอามากๆเลย

             เจอกันในบล็อกหน้านะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น