Ads

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ backpack แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ backpack แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]เมื่อสมัยเรียนปีสุดท้าย ลากกระเป๋าเล็ก+เป้คนละใบหนีเที่ยวปักกิ่งแบบชะโงกงบคนจนจะเป็นยังไง พาร์ท 1/3 (Beijing 北京)

สวัสดีค่ะ ไดอารี่บล็อกนี้จะมาเล่าบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวที่เจเจและเพื่อนๆไปเที่ยวปักกิ่งทริปสั้นๆค่ะ ( รูปก็ไม่ค่อยมีอีกแล้ว )

….เนื่องจากว่าในตอนนั้นเป็นภาคการศึกษาเทอมสุดท้ายที่พวกเราเรียนที่จีน และตอนนั้นพวกเราวางแผนระยะการเดินทางทุกอย่างผิดพลาดหมด จากที่จะได้ไปเที่ยวที่ปักกิ่งเป็นระยะเวลา 4-5 วันหรือมากกว่านั้น จนกลายเป็นว่า เหลือเวลาแค่ 3 วัน 2 คืนค่ะ รวมถึงฤดูกาลของประเทศจีนนั้นเปลี่ยนไป จากเดือนพฤศจิกายนไปเดือนธันวาคมซึ่งเข้าหน้าหนาวเต็มตัว ในหน้าหนาวบางครั้งสถานที่เที่ยวจะปิดไว ไม่ก็ค่าผ่านประตูอาจมีราคาสูงขึ้น แล้วแต่ค่ะ


                นี่คือเหล่าเพื่อนๆที่ไปด้วยกันค่ะ




ทริปของพวกเราคือ เริ่มจากการวางงบประมาณค่ะ ว่าเราไหวกันอยู่ที่เท่าไหร่ งบของตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ค่าโดยสาร ส่วนค่าผ่านประตูนี่ไม่ได้มีเยอะอะไรมากค่ะเนื่องจากตอนนั้นพวกเราไม่มีเวลาจริงๆ ดังนั้นจึงทำได้แค่ไปแบบชะโงก แค่ไหนแค่นั้น ไม่ได้ไปเต็มที่แน่นอน ( งบน้อยค่ะ จน T^T ) แต่ตอนนั้นก็ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่าต้องยอมรับกันและกันว่าไปเที่ยวแบบแกลบๆ อยู่แบบไม่สบายๆก็ต้งอยู่ได้ ….. หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาเส้นทางรถไฟใต้ดิน ถามเพื่อนๆที่เคยไปเที่ยวที่นั่นมาก่อนด้วย และเจก็ได้ติดต่ออาจารย์จีนท่านนึงที่อยู่ที่ปักกิ่งด้วยค่ะเพื่อรายละเอียดเพิ่มเติม แถมจารย์แกทิ้งท้าย 北京欢迎你 555555 ^^ ( ข้อมูลอ้ะมี แต่เวลาเที่ยวอ้ะ ไม่มี T^T )….


เริ่มจะจองตั๋วเครื่องบิน ตอนนั้นราคาอยู่ที่ประมาณ 375หยวนได้ ตีว่าราวๆ 1,800-1,900บาทแหละ ทีแรกพวกเราก็คิดว่าราคาตั๋วน่าจะลงอีก รออีกหน่อย ….แต่แล้วราคามันไม่ลงแล้วอ้ะ แถมเหลือที่นั่งน้อยมากๆด้วย จำใจต้องจองแระ ตอนนั้นใช้แอพ 飞猪 เป็นรูปน้องหมูสีเหลือง เห็นมันราคาถูกดี( ตั๋วราคาถูกก็ต้องตามมาด้วยไฟล์ทบินหัวรุ่งที่พวกเราจะไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไฟล์ทบินถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นตอนตี 3 แหละ ) แถมรถไฟใต้ดินที่จีนก็ไม่ได้เปิด 24 ชม. ด้วย ประมาณสี่ทุ่มครึ่งก็ปิดให้บริการแล้ว พวกเราเลยตัดสินใจนั่งรถไฟใต้ดินในรอบเลทที่สุดและไปนอนรอเอ้งเม้งในสนามบินยาวๆ ( โครตไม่มีอะไรทำอ้ะบอกเลย) เล่นไพ่รอ จนกระทั่งเค้าเรียกให้เช็คอินและขึ้นเครื่องค่ะ ขึ้นเครื่องปุ๊บก็หลับทันที เก็บแรงค่ะ ( ถือว่านอนในเครื่องไปเลยเพราะเมื่อถึงปักกิ่งต้องเที่ยวต่อ )


7 โมงเช้าถึงปักกิ่ง งัวเงียสุดๆ ร่อแร่ พี่โตโย่พานั่งรถ airport bus เข้าเมือง ( เป็นวิธีที่ถูกสุดแล้ว รู้สึกคนละ 20หยวนมั้ง ตกคนละร้อยบาทไทย เจ๊แกประสบการณ์เดินทางประหยัดเยอะจริงไรจริง ) เมื่อถึงสถานีรถไฟใต้ดิน พวกเราทั้ง 4 นี่ ขั้น Oh My God ! ทันที คือบอกตรงๆเลยว่า สถานีมัน ใหญ่มากๆ และ คนเยอะโครตๆ ..!!!! ตาลาย หลงทางหลงแผนผัง adventure สุดๆ ! ป้ายเก่าค่อนข้างเยอะ และที่แน่ๆ ไม่ค่อยมี Eng sub !!!!!! แต่ ก็จะยืนรออะไรไม่ได้ค่ะ ก็ต้องรีบทำบัตรรถไฟ ( ค่าทำบัตร 20หยวน ใส่ตังไปเท่าไหร่ก็ได้ ตอนคืนบัตรจะได้เงินที่เหลือกับค่ามัดจำคืนมาด้วยตอนคืนบัตรต้องสังเกตให้ดีเพราะไม่ใช่ว่าทุกสถานีรถไฟจะรับคืน ) แล้วก็ไปเช็คอินที่โรงแรมค่ะ ระหว่างทางไปที่พัก พวกเราก็ถกเถียงกันเพราะนั่งรถไฟลงผิดป้าย ( โอยยย ..ทะเลาะกันตั้งแต่วันแรกเลย แถมดันเดินไปเยอะแล้วสะด้วยสิ…. ) ก็ต้องรีบจ้ำๆเดินวกไปวนมา กว่าจะเจอสถานีที่ถูกต้องก็เสียเวลาไปประมาณชั่วโมงกว่าได้ ( ไม่น่าเสียเวลาโง่เล้ยยย ) แล้วแถมลงจากสถานีรถไฟแล้ว ระยะทางจากสถานีไปที่พักก็ต้องเดินประมาณ 15นาที เดินลุยทั้งๆอากาศเย็นๆ พื้นถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อยาวๆไปแจ่ะ -…- ( พอดีที่พักอยู่โซนบ้านนอกๆหน่อย ไกลจากใจกลางเมืองมากๆ ทริปนี้ไม่เหมาะกับการใส่รองเท้าส้นสูงจริงๆนะบอกเลย ) เปิด Baidu แผนที่จีนเดินตามจนถึงที่พักในที่สุด



เมื่อถึงที่พักแล้วนะคะ พวกเราก็ได้ทำการเช็คอิน เอาจริงๆครั้งแรกที่พวกเราเห็นที่พักก็แอบสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วค่ะ ว่ามันจะเวิร์ครึเปล่า ( คือไม่ได้จะเรื่องมากหรือมองในแง่ร้ายอะไรนะคะ เพียงแค่คำนึงถึงว่าความปลอดภัยและพวกความสะอาดน่ะค่ะ ) เมื่อเข้าไปถึงห้องพัก เห็นแล้วก็รู้สึกใจส่อไปข้างเลยน่ะค่ะ คือพวกเราจ่ายเงินค่าห้องไปคืนละ 500หยวน ตีเป็นเงินไทยเลขกลมๆก็ประมาณ 2,500บาท ไม่มีอาหารเช้า ( ไม่ได้ซีเรียสเรื่องอาหารการกินค่ะ หากินข้างนอกได้ ) มีวายฟาย ( ที่ไม่ค่อยติด ) รู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปสักเท่าไหร่น่ะค่ะถ้าเทียบกับราคาเกสเฮ้าเกรดถูกๆที่ไทย สิ่งที่พวกเราทั้ง 4 คนเห็นตอนนั้นก็คือ สภาพห้องค่อนข้างสกปรก ฝุ่นตามขอบห้องมุมห้องยังมีค่ะ หนามาก ตามลิ้นชักเสื้อผ้าก็มีฝุ่น พื้นห้องไม่สะอาดเลย แอร์ก็ไม่รู้ว่าสะอาดมั้ย เพดานห้องนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ซึ่งตอนนั้นเจกับชมพู่ก็ค่อนข้างกังวลแล้วเพราะพวกเราแพ้ฝุ่นด้วยน่ะค่ะ แต่ก็ต้องทนอยู่….. ห้องขนาดเล็กๆแคบๆอยู่ได้ค่ะ แต่ความสะอาดคือให้คะแนนติดลบ - - ( ขอไม่เอ่ยสถานที่นะคะ ) จะย้ายโรงแรมก็ไม่ได้ค่ะ ช่วงนั้นฤดูท่องเที่ยวใกล้ปีใหม่ ที่พักที่ไหนๆก็แพงแล้วด้วย ยอมก็ยอม T^T


หลังจากที่พวกเราวางสัมภาระไว้ในห้องพักแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ.. ตามหาของกินค่ะ เพราะไม่มีอะไรลงถึงกะเพาะของพวกเราเลยตั้งแต่ลงปักกิ่งมา แถวนั้นค่อนข้างเงียบสงัด ไม่มีตึกมากกว่า3ชั้น ส่วนมากจะเป็นตึกชั้นเดียวเรียงกันตามข้างถนน ร้านอาหารก็น้อยเอามากๆๆๆ และมาก มินิมาร์ทก็แอบไกลจากที่พักด้วย TT^TT …. ตอนนั้นคือ ไม่คิดอะไรแระ หาอะไรที่พอกินได้ก็พอ บะหมี่คนละชามก็ยังดี ตอนนั้นใช้เวลาเดินสำรวจหลายสิบกว่านาทีอยู่จนกระทั่งไปเจอร้านนึง โชคดีที่มีร้านนึงมันเปิดอยู่ ขอกินหมี่คนละชามเติมพลังก่อนเถอะ …..

หลังจากที่หาของกินเสร็จ ตอนนั้นรู้สึกจะเริ่มบ่ายสองบ่ายสามแล้วมั้ง คือเลทแล้วอ้ะ ก็เลยรีบเดินจ้ำไปที่สถานีรถไฟใต้ดินเพื่อจากไปเที่ยวที่แรก Tiananmen 天安门 กับพระราชวังต้องห้าม 故宫 ค่ะ




                ( เดินทางด้วยการนั่ง 天安门东 Tian an men dong สาย1 ทางออก C แล้วจะเห็นคนต่อคิวเยอะมากๆพร้อมทั้งต้องสแกนสัมภาระด้วย
จากนั้นข้ามถนน( เดินตามคนจีนก็ได้คนมันเยอะมาก) แล้วจะเจอรูปท่านเหมาเจ๋อตง

                สายรถไฟค่อนข้างเก่า จะไม่มีเขียนบอกทุกเส้นทาง ที่สถานีรถไฟมันจะบอกแค่บางเส้นทางเท่านั้นฉะนั้นต้องพึ่งพาแอพแผนที่ในมือถือนิดนึง )


บอกตรงๆเลยว่า คนเยอะมากกกก ก ไก่ล้านตัว คือด้วยความที่มันอารมอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกรุงเทพอ้ะ ศูนย์กลางใจกลางเมืองแหล่งต่อรถทุกสิ่ง แล้วไปถึงตอนนั้นก็ล่อไปบ่ายสี่โมงได้แล้วมั้ง คนเค้าเลิกงาน คนติดเป็นพิเศษ ขั้นที่ว่าต้องต่อคิวเดินกันอ้ะ แล้วที่ช็อคไปกว่านั้นคือ ปักกิ่งอากาศนี่เสียมาก เหมือน PM 2.5 ฝุ่นควันนี่คลุ้งไปหมดถ่ายรูปอะไรไม่ได้ ต้องใส่แมสไปน่ะค่ะ อากาศแย่จริงๆ

                เมื่อเดินเข้าไปพื้นที่นั้นได้แล้ว ก็เจอกับลานกว้างทางเข้าไปพระราชวังต้องห้าม คนก็แน่นไม่แพ้ข้างนอกเลยค่ะ  แต่ด้วยความที่พวกเราไม่มีเวลาแล้วบวกกับไม่มีเงิน ( ค่าผ่านประตูเยอะมากๆ เสียแล้วเสียอีกเมื่อเดินเข้าไปลึกๆ ) พวกเราก็แค่ ยืนดูข้างนอก จบ ออกมากค่ะ ( ชะโงกไหมล่ะ ? )




ออกมาเดินข้างนอกเห็นแม่น้ำลำธารที่แข็งโป๊กจนกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว



ตอนนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ( ฤดูหนาวมืดเร็วค่ะ ) ตอนนั้นก็คิดว่าเราก็ได้แต่ไปที่เที่ยวที่เป็นย่านตอนกลางคืน ถนนคนเดินอะไรทำนองนั้นค่ะ อันดับแรก นึกขึ้นได้พอดี มีที่ที่นึงที่เราสามารถไปได้นั่นก็คือ สนามกีฬารังนกโอลิมปิก นั่นเอง


 

( สนามกีฬารังนกโอลิมปิก Bird nest Olympic sport center

                นั่งไปที่สถานี 噢体中心 สาย 8 ทางออก B1
                รถไฟใต้ดินนี้เป็นรถไฟใต้ดินค่อนข้างใหม่อารมแบบที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะบอกทางรถไฟละเอียดเลย   ไม่ต้องพึ่งแอพแผนที่เลย  )


ข้างๆสนามกีฬามีสระว่ายน้ำด้วย



อากาศตอนนั้นหนาวมาก ปกติเจเป็นคนชอบที่เย็นๆนะ แต่เนื่องจากช่วงนั้นร่างกายไม่ค่อยสบายเท่าไหร่อ้ะ ก็เลยหนาว โชคดีที่คนไม่เยอะ แทบไม่มีเลยก็ว่าได้ ก็เลยได้แวะถ่ายรูปแปปเดียวแล้วไปต่อ ( มาเพื่อชะโงก )….

ต่อมาก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องไปหาของกินจริงๆจังๆแล้ว ก็ไปที่ย่านหวางฟู่จิ่ง 王府井



( Wangfujing  王府井

                นั่งไปที่สถานี 王府井 สาย 1

                เป็นย่านถนนคนเดิน มีทั้งห้างไฮโซรวมทั้งถนนคนเดินสไตล์งานวัดด้วย ( ถนนคนเดินต้องเดินผ่านลานห้างเยอะๆไปสักพักแล้วจะเจอซุ้มประตูเหมือนศาลเจ้า ตรงนั้นจะขายของกิน ของที่ระลึกเยอะแยะ มีเกมเซนเตอร์ด้วย
)


ทีแรกกะจะไปหาของกินจริงๆจังๆนะ แต่พอไปๆมาๆ แอบรำคาญคนเยอะ จะเดินไปด้วยกินไปด้วยตอนนั้นก็คิดว่ามันเป็นอุปสรรค อากาศหนาวกว่าจะถือของควักตังจากกระเป๋าตังพวกเราเองก็แอบมีความรำคาญอ้ะ และที่แน่ๆคือ หลายอย่างก็ แอบ แพง TT^TT … แทบร้องร่ำไห้แล้ว ( สงสัยมันราคาตามย่านที่เที่ยวแหละ ) ก็เลยกินแบบนิดๆหน่อยๆพอ พวกผลไม้เสียบไม้อะไรทำนองนี้อ้ะ แล้วพวกเราก็ไปเสียเวลากับเกมเซ็นเตอร์ด้านในลึกๆ เล่นกันจนจะลืมเวล่ำเวลาแล้วละมั้ง 5555 เดินเพื่อให้รู้ว่าได้มาแล้วแหละชะโงกๆ แล้วก็ต้องรีบกลับไปที่พักก่อนสี่ทุ่ม ( กลัวรถหมดค่ะ ) คิดดูนะคะ ขนาดขึ้นรถไฟตอนสามทุ่มกว่าคนยังแน่นเหมือนตอนกลางวันเลย ก่อนกลับที่พักก็แวะหาของกินค่ะ สรุป มากินร้นใกล้ที่พักมันดีกว่าแหละ คนไม่เยอะ ดีที่มีร้านหม่าล่าเปิดตอนค่ำ ในร้านเปิดฮีตเตอร์อุ่นๆด้วย ก็เข้าไปกินให้อิ่มไปข้างก่อนเข้าไปพักผ่อน ….. ก่อนนอน พี่โตโย่บอกว่าจะช่วยปลุกพวกเราให้ ประมาณ ตี 5 หรือ 6โมงเช้าแหละ เพราะเรามีแพลนจะไปกำแพงเมืองจีนต่อ ( มันไกลมาก เดินทางนาน ต้องไปทั้งวันค่ะ ) ….


พาร์ทหน้าจะมาต่อเรื่องการเที่ยวชะโงกในครั้งนี้นะคะ กำลังทยอยรื้อฟื้นความทรงจำค่า

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นนักศึกษาเรียนที่จีนปี 1 หนีเที่ยว หนีร้อนไปหาหนาว ลี่เจียงทริป พาร์ท 3/3 Blue Moon Valley + จุดชมวิวเมืองเก่าลี่เจียง (蓝月谷 + Lijiang Old Town Viewpoint)

                ไดอารี่พาร์ทสุดท้ายของทริปลี่เจียงนะคะจะเป็นครึ่งวันหลังจากไปเที่ยวภูเขาหิมะ และวันสุดท้ายที่พวกเราอยู่ที่เมืองลี่เจียงค่ะ

            หลังจากที่พวกเรานั่งกระเช้าไฟฟ้าลงมาจากภูเขาหิมะนะคะ คนขับรถได้พาพวกเราไปถ่ายรูปเล่นชมธรรมชาติที่

             Blue Moon Valley蓝月谷 ( ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อภาษาไทยค่ะ ) คนไทยจะเรียกปากต่อปากกันว่า ทะเลสาบมรกต อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ แต่ดูเผินๆนี่สีน้ำทะเลสาบมันก็เหมือนสีเขียวมรกตจริงๆแหละ ซึ่งมันสวยมาก รอบด้านอากาศเย็นสบาย บรรยากาศกำลังดีค่ะ เพื่อนๆที่ก่อนหน้านี้หน้ามืดตามัวกันที่ภูเขาหิมะด้านบนนั้น ก็กลับมาตื่น ตาสว่างกันเลยทีเดียว ( อารมว่า มีอากาศให้หายใจแล้ว 5555 )





















































                กลับที่พักไปก็หมดแรงข้าวต้มกันไปข้าง พักผ่อนกันเยอะมาก หลับยาวกันไปเลยคนๆ หลับเป็นตายสุดๆ กลับจากที่หนาว เปิดฮีตเตอร์ ซุกผ้าห่มอุ่นๆ แล้วก็ ...ZzzZZzz....

 

                วันสุดท้ายที่อยู่ลี่เจียงแล้ว ก่อนกลับไปเมืองคุณหมิง เจ ไอซ์ และเหวิน ก็ไปเดินเล่นที่ย่านเมืองเก่ากัน แต่รอบนี้เดินไปที่จุดชมวิวค่ะ เนื่องจากตอนนั้น นก ป๊อป แก้วและไนท์ไปมาแล้ว แต่ตอนนั้นพวกเรา 3 คน ดันหาทางขึ้นไม่เจอสะงั้น ^^




                    ขึ้นไปที่จุดชมวิว ทีแรกดูเหมือนนึกว่าชิวๆไม่มีไรมากนะ เอาจริงๆในความรู้สึกไม่ค่อยต่างจากที่เดินขึ้นคานที่ซีซาน 5555




















เพิ่งรู้ว่าขึนจุดชมวิวก็ต้องมีค่าผ่านประตู  เสียเงินแล้วทั้งที อยู่ให้นานๆหน่อยละกันนะ















                ก่อนบอกลาเมืองเก่าลี่เจียง อะไรที่อยากกินที่ยังไม่ได้กินก็เดินตามๆกินกันไปให้หมด โดยเฉพาะหม่าล่าซาวข่าวเสียบไม้ที่เป็นเนื้อจามรีนี่ อร่อยมาก หอมปากหอมคอ พวกเจกินกันยันวินาทีสุดท้ายก่อนกลับ ( อารมเหมือนกินเนื้อวัวเลยค่ะ คนที่นั่นปรุงเก่งมาก ไม่มีกลิ่นสาบเลย ^^ และที่สำคัญคือ ถูกมาก ไม้ละ 5 หยวน )




                มาเห็นแม่ค้าคนนึงเข็นรถเข็นขายขนมอะไรก็ไม่รู้ ทีแรกพวกเราก็นึกว่าเค้กพื้นเมืองมั้ง ก็เห็นมันดูมีชั้นๆ มีไส้ครีม แล้วตอนนั้นึกว่าหน้าขนมนี้เป็นคาราเมล ( มโนเองล้วนๆเนี่ย 55555 ^^ ) ก็เลยลองซื้อมากินดู.... แต่ว่าเท่าที่กินตอนนั้นรู้สึกว่ามันจืดอ่า ไม่ได้ชอบอ้ะ  TT^TT ( ความรู้สึกเหมือนแบบว่า มันไม่ใช่อ้ะ แกรรรร ..!!!!  ) แต่พวกเราก็ไม่ทิ้งนะคะ หลอกเอาไปให้เพื่อนๆที่เหลือช่วยกันกินคนละคำจนหมดก็พอ 555 แค่นี้ก็ไม่ต้องทิ้งแล้ว





                พวกของฟงของฝากก็ถ้าใครจะหิ้วกลับไปให้ใครก็ซื้อกันไปให้พร้อม เหมือนพวกขนมไส้กุหลาบอะไรทำนองนี้น่ะค่ะ จำได้ว่าไอซ์ชอบมาก ซื้อกลับไปหลายห่อจนแม่ค้ายิ้มเลย




                ส่วนกลุ่มของนกมาเล่าให้เจเจฟังว่า ก่อนกลับพวกเค้าก็ไปลองอาหารแปลกๆ แบบนมจามรี ( รึเปล่าไม่แน่ใจ ?? ) สั่งถ้วยเดียว แต่กินด้วยกัน 4 คน เพราะพวกเค้าไม่กล้าสั่งคนละถ้วยเพราะกลัวกินไม่หมดแล้วเสียดาย ><

             แต่เพื่อนๆเค้าบอกไม่ชอบอ้ะ มันคาวสำหรับพวกเค้าแล้วมันก็ไม่ได้เป็นนมเข้มข้น เหมือนน้ำเปล่า ทำนองนั้น ( อาจจะอยู่ที่ความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกันละมั้งนะ )




                จากนั้นก็นั่งรถกลับไปที่สถานีรถไฟและนั่งรถไฟนอนกลับคุณหมิงตามเดิมค่ะ และเนื่องจากว่านั่งรถไฟตอนกลางคืนมาถึงคุนหมิงตอนเช้า พวกเรางัวเงียมาก อารมว่าเพลง 'ยังไม่ได้นอน' นี่ลอยมาในหัว 555 กลับถึงหอก็พักผ่อนเต็มที่เลยค่ะ

และแล้ว ทริปลี่เจียงก็จบลงเพียงเท่านี้ค่า

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

[ไดอารี่]สมัยเป็นนักศึกษาเรียนที่จีนปี 1 หนีเที่ยว หนีร้อนไปหาหนาว ลี่เจียงทริป พาร์ท 2/3 ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain玉龙雪山)

            JJDiary มาถึงลี่เจียงก็ไม่ได้มาแค่เมืองเก่านะคะ  ณ ตอนนั้น สิ่งที่พวกเราคิดว่าไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือ การได้มาที่ ‘‘ภูเขาหิมะ’’ นั่นเอง  ซึ่งการติดต่อกับคนขับรถที่พาพวกเราไปรับส่งก็มาจากความช่วยเหลือที่ดีจากพี่ๆคนไทยที่คุณหมิงอีกเช่นเคยนะคะ  เนื่องในโอกาสครั้งนี้ เป็นครั้งแรกของเพื่อนเจเจหลายคนเลยค่ะที่ได้มาเห็นหิมะของจริงในครั้งแรก บอกเลยว่า ตื่นเต้นกันแน่นอน


                จากที่พักนั่งรถไปทางขึ้นภูเขาหิมะไม่ได้นานมากค่ะ รู้สึกจะประมาณ 15 นาที


                ก่อนขึ้นไปภูเขาหิมะ พวกเราได้ทำการซื้อตั๋วด้านล่าง และพวกเราได้ดูการแสดงคนพื้นเมืองด้วยค่ะ  ในการแสดงมีพวกบทบาทสมมติสมัยโบราณแบบเรื่องสั้น ร้องเพลง เต้นรำ ร่ายกลอน วิถีชนเผ่าและอื่นๆค่ะ











                ระหว่างดูการแสดงนั้นเราก็ได้เจอหญิงสาวคนจีนคนนึงค่ะ เค้าเห็นพวกเรามาเที่ยวกันเป็นกลุ่ม และพวกเราพูดภาษาไทยกัน เค้าเลยรู้ว่าพวกเราเป็นคนต่างชาติค่ะ ผู้หญิงคนนี้เค้ามาลุยเที่ยวคนเดียวค่ะ เนื่องจากเพื่อนของเค้ากลัวที่หนาวมาก เลยอยู่แต่ที่พัก ทำให้เค้าต้องออกมาเที่ยวเหงาๆคนเดียว พอเค้าเจอพวกเราเค้าเลยขอไปด้วยกันค่ะ

 

                หลังจากที่ดูการแสดงเสร็จแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปรับเสื้อกันหนาวค่ะ เสื้อกันหนาวของเค้าอุ่นจริงอะไรจริง แต่ส่วนตัวเจไม่ชอบอ้ะ ( เป็นคนขี้ร้อน ไม่กลัวที่เย็น 555 ) และจะมีกระป๋องออกซิเจนแจกด้วยค่ะ




                บรรยากาศนั่งกระเช้าขึ้นไปข้างบนค่ะ อยากจะบอกว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว และที่แน่ๆ แก้วกลัวความสูงมว้ากกกกกก ><

                กรี๊ดจนแทบจะยืนไม่ขึ้นเลย ส่วนเราพวกเราที่เหลือนี่ กำลังเห่อกับบรรยากาศที่แสนจะสูงชันนี่ 555








                นั่งขึ้นไปนานอยู่ค่ะ พอออกจากกระเช้าแล้ว สิ่งที่พวกเราออกมาเจอ ดินแดนที่มีแต่ความขาวโพลน ‘‘หิมะ’’ นั่นเอง



อยากจะบอกว่าแสงแดดจ้าแรงมาก เงยหน้าไม่ได้เลย น่าจะเอาแว่นกันแดดมาด้วยเนี่ยะ




ไหนๆก็มาแล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย









                หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกระจายกันเดินค่ะ  นกกับป๊อปจะเดินไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่เนื่องจากเพื่อนเค้าหายใจไม่ออก เจเลยบริจาคกระป๋องออกซิเจนให้เพื่อนค่ะ เนื่องจากเจไม่ได้ใช้

            ( หากใครมีอาการหอบ หายใจไม่ออกในที่เย็นๆ ให้ทำตัวให้อบอุ่นแล้วก็สูดออกซิเจนเป็นระวังหน้ามืดนะคะ )





                มีให้เดินขึ้นไปด้านบนด้วย เหมือนจะง่ายนะ แต่ก็ไม่ง่ายอ้ะ แอบหน้ามืดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะไอซ์นี่ หอบไปอีกคนเลยเหมือนกัน ส่วนเหวินเพื่อนอีกคนนี้ วิ่งไปไกลแล้ว ซนยังกะเด็กเลย 



เดินไปสักพักนึงก็….




                เอาจริงๆเหมือนเจว่าเจตื่นเต้นอยู่คนเดียวอ้ะ ส่วนเหวินนี่ ตื่นเต้นเหมือนกันนะ ….แต่ สีหน้าไม่เคยแสดงออก 5555







ข้างบนนี่ลมดีอากาศดีเวอร์ สดชื่นเหมือนได้เกิดใหม่เลย

 

จากนั้นก็ เรื่อยเปื่อยค่ะ











































                เริ่มไม่มีไรทำ ไอซ์กับเหวิน หาหิมะมาปั้นเล่นๆ ตอนแรกเหวินพูดลอยๆออกมาว่า ‘‘อยากลองกินหิมะ อยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง?’’ ไอเราก็ต้องรีบห้ามเพื่อนก่อนเลย เพราะ หิมะมันสกปรกม้ากกกก คนเค้ามาเที่ยวที่นี่ปีนึงตั้งกี่พันล้านคน หิมะนี่เละจนไม่ใช่สีขาวไปแล้ว……  ( ด้วยความที่เหวินเพิ่งเห็นหิมะครั้งแรก มีความตื่นเต้นนิสนึง )  //  พูดง่ายๆ หิมะมันก็เหมือนน้ำแข็งใสน่ะแหละ




                ปล. เดินบนหิมะ ก็ระวังๆกันด้วยเน้อออออ เพื่อนเจลื่นไปละ ( อารมแบบเดินบนน้ำแข็งแหละ )




                เดินไปสักพัก อย่างที่บอกค่ะ เจเป็นคนขี้ร้อน ร้อนมากกกก ร้อนก็บ่น แต่ชาวบ้านคนอื่นเค้าหนาวกัน ไอสื้อกันหนาวที่เค้าแจกมานี่ เดี๋ยวใส่เดี๋ยวถอด




                เล่นเป็นเด็ก ซนยังกะลิง ตอนนั้นเค้าฮิต Let it go กัน ( หนัง Frozen เพิ่งเข้า ) โดยเฉพาะ ฉากที่เอลซ่าวิ่งบนบันไดน้ำแข็ง




                มาที่นี่มีสิ่งที่ไม่อยากให้ทุกคนพลาดอีกอย่างคือ การเล่นสโนวบัสเตอร์ค่ะ Snow buster เป็นไอที่ว่า นั่งบนห่วงยางแล้วลื่นไถลมาตามหิมะน่ะค่ะ ตอนเล่นก็ต้องทนตูดเปียกนิดนึงนร้า ตอนนั้นเจ เหวิน และไอซ์ไปรอบนึงด้วย สนุกมาก แต่แอบต่อคิวยาวนิดๆ ( คนเยอะค่ะ )








                พวกเรามีเวลาอยู่ที่ภูเขาหิมะแค่ถึงเที่ยงค่ะ จากนั้นต้องลงมาแล้ว แล้วไปเที่ยวต่อค่ะ

            บล็อกนี้ขอจบกันบรรยากาศที่ดินแดนหิมะเพียงเท่านี้น่ะค่ะ ขออภัยที่รูปภาพมีเหลือไม่เยอะ เป็นไดอารี่ที่แสนจะนานมาแล้ว พอได้กลับมาเปิดเจอรูปสมัยก่อนที่เฮฮามาเที่ยวกับเพื่อนๆแบบนี้ ก็รู้สึกคิดถึงเอามากๆเลย

             เจอกันในบล็อกหน้านะคะ